ตกลงนี่มันบันทึกการแสดงสดหรือว่าสารคดีบันทึกการแสดงคอนเสริต์ของบียอนเซ่กันแน่? ถ้าเราจะนิยามของมันให้เป็นอย่างหลังก็ไม่น่าจะแปลกนัก เพราะกว่า 70 เปอร์เซนต์ของดีวีดีนี้ถูกตัดสลับกับภาพอารมณ์ร่วมที่ผู้ชมและแฟนเพลงของเธอในระดับ “เกินกว่าปกติ”
หลายคนที่เคยผ่านตามากับดีวีดีประเภทสารคดีคอนเสิร์ต อาจจะรู้สึกเฉยๆกับการนำเสนอในลักษณะนี้ แต่มันก็เป็นข้อบกพร่องประการใหญ่ที่ทำให้ผู้ชมหลายคนที่ไม่ชิน อาจจะเกิดความรำคาญขึ้นง่ายๆ เพราะลักษณะในการตัดต่อภาพนั้น ความต่อเนื่องถือเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ผู้ชมอยากจะดู “เรื่องราว” นั้นๆจนจบ
I Am World Tour เล่นกับธีมคอนเซปคอนเสิร์ตที่พยายามพูดถึง Sasha France หรือแง่มุมต่างๆของตัวบียอนเซ่เอง แต่หลายครั้งหลายช่วงที่คอนเสิร์ตนี้กลับเน้นอารมณ์ร่วมของผู้ชมมากกว่า จะนำเสนอภาพการแสดงของตัวศิลปินเอง จนมันกลายเป็นจุดด้อย “ผลัก” ผู้ชมประเภทที่รู้สึกรำคาญว่า ทำไมตัวฉันต้องมาทนดู แฟนคลับกรี้ด บ้าคลั่งเสียสติ เป็นลม หรือแม้กระทั่งชี้หน้าด่าว่าบียอนเซ่เป็นพวกนังตอแหล เป็นต้นด้วยล่ะ
ไม่เพียงเท่านั้น จำนวนมุมกล้องที่มากมาย (ตัดมาจากฟุตเทจนับร้อยจากทั่วโลก) บวกกับการตัดภาพที่ฉับไวจนคนดูปวดหัวเพราะอัตราการเปลี่ยนภาพต่อเฟรมอยู่ในระดับที่สูงมาก จนเราอดไม่ได้กับบางเพลงที่เราจะรู้สึกอยากจะบ่นว่า “พอได้หรือยัง”
จะว่าไปมันก็ไม่ใช่ข้อเสียที่ร้ายแรงอะไร ถ้าเราเลือกจะตั้งมาตรฐานว่า การนำเสนอคอนเสิร์ตในมุมมองนี้ก็ดูแปลกกว่าบันทึกการแสดงทั่วไป แต่เชื่อว่าแฟนคลับกว่า 80 เปอร์เซ็นต์คาดหวังจะได้ดูบันทึกการแสดงเต็มๆของเธอ ดังนั้นดีวีดีแผ่นนี้จึงไม่อาจสนองความต้องการของผู้ชมทั่วไปได้ดีนัก ซ้ำร้ายมันอาจจะเป็นการสร้างทัศนคติในเชิงลบต่อตัวศิลปินเสียมากกว่าว่า “ฉันมานั่งดูสารคดีเหรอวะเนี่ย”
หลายคนที่เคยผ่านตามากับดีวีดีประเภทสารคดีคอนเสิร์ต อาจจะรู้สึกเฉยๆกับการนำเสนอในลักษณะนี้ แต่มันก็เป็นข้อบกพร่องประการใหญ่ที่ทำให้ผู้ชมหลายคนที่ไม่ชิน อาจจะเกิดความรำคาญขึ้นง่ายๆ เพราะลักษณะในการตัดต่อภาพนั้น ความต่อเนื่องถือเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ผู้ชมอยากจะดู “เรื่องราว” นั้นๆจนจบ
I Am World Tour เล่นกับธีมคอนเซปคอนเสิร์ตที่พยายามพูดถึง Sasha France หรือแง่มุมต่างๆของตัวบียอนเซ่เอง แต่หลายครั้งหลายช่วงที่คอนเสิร์ตนี้กลับเน้นอารมณ์ร่วมของผู้ชมมากกว่า จะนำเสนอภาพการแสดงของตัวศิลปินเอง จนมันกลายเป็นจุดด้อย “ผลัก” ผู้ชมประเภทที่รู้สึกรำคาญว่า ทำไมตัวฉันต้องมาทนดู แฟนคลับกรี้ด บ้าคลั่งเสียสติ เป็นลม หรือแม้กระทั่งชี้หน้าด่าว่าบียอนเซ่เป็นพวกนังตอแหล เป็นต้นด้วยล่ะ
ไม่เพียงเท่านั้น จำนวนมุมกล้องที่มากมาย (ตัดมาจากฟุตเทจนับร้อยจากทั่วโลก) บวกกับการตัดภาพที่ฉับไวจนคนดูปวดหัวเพราะอัตราการเปลี่ยนภาพต่อเฟรมอยู่ในระดับที่สูงมาก จนเราอดไม่ได้กับบางเพลงที่เราจะรู้สึกอยากจะบ่นว่า “พอได้หรือยัง”
จะว่าไปมันก็ไม่ใช่ข้อเสียที่ร้ายแรงอะไร ถ้าเราเลือกจะตั้งมาตรฐานว่า การนำเสนอคอนเสิร์ตในมุมมองนี้ก็ดูแปลกกว่าบันทึกการแสดงทั่วไป แต่เชื่อว่าแฟนคลับกว่า 80 เปอร์เซ็นต์คาดหวังจะได้ดูบันทึกการแสดงเต็มๆของเธอ ดังนั้นดีวีดีแผ่นนี้จึงไม่อาจสนองความต้องการของผู้ชมทั่วไปได้ดีนัก ซ้ำร้ายมันอาจจะเป็นการสร้างทัศนคติในเชิงลบต่อตัวศิลปินเสียมากกว่าว่า “ฉันมานั่งดูสารคดีเหรอวะเนี่ย”
จะว่าไป I Am Tour จัดได้ว่ามีโมเมนต์ที่น่าจดจำอยู่หลายช่วงไม่ว่าจะเป็นตอนเปิดตัวอย่าง Crazy In Love ที่อาศัยท่อนเปิดของเพลง De ja Vu เพื่อเสริมรัศมีความเป็นตัวแม่ของเธอ Smash to you และ Ave Maria ที่ต้องอ้าปากค้างกับคอสตูมชุดแต่งงานที่สวยงามเกินคำบรรยาย เมื่อประกอบกับการกำกับแสงและพลังในการแสดง ยิ่งทำให้เราอินไปกับเพลงมากขึ้น Baby Boy เพลงที่เราถึงกับต้องตะลึงเมื่อบียอนเซ่เหาะได้ พร้อมตีลังกาหลายตลบจดดูแล้วพาลให้นึกถึงสาว Pink เล่นกายกรรมเสี่ยงตายแบบใน FunHouse Tour อย่างช่วง Diva ก็จัดเป็นโมเมนต์ที่น่าสนใจเมื่อคอสตูมเรืองแสงนั่น ขับเน้นให้โชว์ของหล่อนดูแรงขึ้นโดยปริยาย ส่วน Single Lady ก็เป็นเพลงเต้นลืมตายประจำคอนเสิร์ต
ทั้งหมดทั้งมวล เราได้เห็นเพียงแค่เสี้ยวอย่างละหน่อยของคอนเสิร์ตเท่านั้น เพราะหลายครั้งความน่าสนใจของตัวคอนเสิร์ตถูกลดทอนด้วยการตัดต่อดังที่ได้กล่าวมา ด้วยการแทรกภาพการแสดงความรู้สึกของตัวบียอนเซ่เอง การเดินทางไปประเทศต่างๆ และการโชว์ให้เห็นภาพของแต่ละประเทศ
น่าเสียดายเหลือเกินถ้าดีวีดี I Am World Tour จะถูกจัดทำออกมาในรูปแบบที่วางตลาดแบบเดียว เพราะเชื่อว่าหลายต่อหลายคนคงอยากจะดูการแสดงคอนเสิร์ตแบบเต็มๆมากกว่า
ถ้าหาก This is it คือการเล่าสารคดีคอนเสิร์ตให้คนได้เห็นหลายมุมมอง I Am Tour กลับเล่ามุมมองเพียงแค่ตัวศิลปินและแฟนๆที่มาชมคอนเสิร์ตเท่านั้น มันจึงไม่ใช่สารคดีคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกันมันก็ไม่ใช่บันทึกการแสดงสดอีก การเป็นลูกผีลูกคนแบบนี้จึงทำให้คนดูรู้สึกแย่มากกว่าจะชื่นชอบ
สิ่งที่ดีที่สุดของดีวีดีแผ่นนี้คือฟิเจอร์ Behind the Scene ที่ทำให้เรารู้ว่าการจะกำหนดโมเมนต์หนึ่งของคอนเสิร์ตนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่จะทำ แต่ผู้หญิงที่ชื่อบียอนเซ่สามารถนำเสนอมันออกมาได้และสามารถตรึงผู้ชมได้ตลอดการแสดงของเธอในเวลาสองชั่วโมง แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ “สารคดีคอนเสิร์ตแผ่นนี้มีความยาวแค่ชั่วโมงนิดๆเท่านั้น” นั่นเท่ากับว่ามีอีกหลายโมเมนต์ที่หายไป
เราก็ได้แต่หวังว่า เราอาจจะได้เห็นอีกหลายโมเมนต์ผ่านดีวีดีอีกเวอร์ชั่นนึงนะจ๊ะ สาวบี
ทั้งหมดทั้งมวล เราได้เห็นเพียงแค่เสี้ยวอย่างละหน่อยของคอนเสิร์ตเท่านั้น เพราะหลายครั้งความน่าสนใจของตัวคอนเสิร์ตถูกลดทอนด้วยการตัดต่อดังที่ได้กล่าวมา ด้วยการแทรกภาพการแสดงความรู้สึกของตัวบียอนเซ่เอง การเดินทางไปประเทศต่างๆ และการโชว์ให้เห็นภาพของแต่ละประเทศ
น่าเสียดายเหลือเกินถ้าดีวีดี I Am World Tour จะถูกจัดทำออกมาในรูปแบบที่วางตลาดแบบเดียว เพราะเชื่อว่าหลายต่อหลายคนคงอยากจะดูการแสดงคอนเสิร์ตแบบเต็มๆมากกว่า
ถ้าหาก This is it คือการเล่าสารคดีคอนเสิร์ตให้คนได้เห็นหลายมุมมอง I Am Tour กลับเล่ามุมมองเพียงแค่ตัวศิลปินและแฟนๆที่มาชมคอนเสิร์ตเท่านั้น มันจึงไม่ใช่สารคดีคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกันมันก็ไม่ใช่บันทึกการแสดงสดอีก การเป็นลูกผีลูกคนแบบนี้จึงทำให้คนดูรู้สึกแย่มากกว่าจะชื่นชอบ
สิ่งที่ดีที่สุดของดีวีดีแผ่นนี้คือฟิเจอร์ Behind the Scene ที่ทำให้เรารู้ว่าการจะกำหนดโมเมนต์หนึ่งของคอนเสิร์ตนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่จะทำ แต่ผู้หญิงที่ชื่อบียอนเซ่สามารถนำเสนอมันออกมาได้และสามารถตรึงผู้ชมได้ตลอดการแสดงของเธอในเวลาสองชั่วโมง แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ “สารคดีคอนเสิร์ตแผ่นนี้มีความยาวแค่ชั่วโมงนิดๆเท่านั้น” นั่นเท่ากับว่ามีอีกหลายโมเมนต์ที่หายไป
เราก็ได้แต่หวังว่า เราอาจจะได้เห็นอีกหลายโมเมนต์ผ่านดีวีดีอีกเวอร์ชั่นนึงนะจ๊ะ สาวบี
ลงตีพิมพ์แล้วใน www.pantip.com และ www.onlineza.bloggang.com