วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

[Review Concert] Beyonc’e I Am World Tour ยำใหญ่ฟุตเทจทัวร์คอนเสิร์ต




ตกลงนี่มันบันทึกการแสดงสดหรือว่าสารคดีบันทึกการแสดงคอนเสริต์ของบียอนเซ่กันแน่? ถ้าเราจะนิยามของมันให้เป็นอย่างหลังก็ไม่น่าจะแปลกนัก เพราะกว่า 70 เปอร์เซนต์ของดีวีดีนี้ถูกตัดสลับกับภาพอารมณ์ร่วมที่ผู้ชมและแฟนเพลงของเธอในระดับ “เกินกว่าปกติ”

หลายคนที่เคยผ่านตามากับดีวีดีประเภทสารคดีคอนเสิร์ต อาจจะรู้สึกเฉยๆกับการนำเสนอในลักษณะนี้ แต่มันก็เป็นข้อบกพร่องประการใหญ่ที่ทำให้ผู้ชมหลายคนที่ไม่ชิน อาจจะเกิดความรำคาญขึ้นง่ายๆ เพราะลักษณะในการตัดต่อภาพนั้น ความต่อเนื่องถือเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ผู้ชมอยากจะดู “เรื่องราว” นั้นๆจนจบ

I Am World Tour เล่นกับธีมคอนเซปคอนเสิร์ตที่พยายามพูดถึง Sasha France หรือแง่มุมต่างๆของตัวบียอนเซ่เอง แต่หลายครั้งหลายช่วงที่คอนเสิร์ตนี้กลับเน้นอารมณ์ร่วมของผู้ชมมากกว่า จะนำเสนอภาพการแสดงของตัวศิลปินเอง จนมันกลายเป็นจุดด้อย “ผลัก” ผู้ชมประเภทที่รู้สึกรำคาญว่า ทำไมตัวฉันต้องมาทนดู แฟนคลับกรี้ด บ้าคลั่งเสียสติ เป็นลม หรือแม้กระทั่งชี้หน้าด่าว่าบียอนเซ่เป็นพวกนังตอแหล เป็นต้นด้วยล่ะ

ไม่เพียงเท่านั้น จำนวนมุมกล้องที่มากมาย (ตัดมาจากฟุตเทจนับร้อยจากทั่วโลก) บวกกับการตัดภาพที่ฉับไวจนคนดูปวดหัวเพราะอัตราการเปลี่ยนภาพต่อเฟรมอยู่ในระดับที่สูงมาก จนเราอดไม่ได้กับบางเพลงที่เราจะรู้สึกอยากจะบ่นว่า “พอได้หรือยัง”

จะว่าไปมันก็ไม่ใช่ข้อเสียที่ร้ายแรงอะไร ถ้าเราเลือกจะตั้งมาตรฐานว่า การนำเสนอคอนเสิร์ตในมุมมองนี้ก็ดูแปลกกว่าบันทึกการแสดงทั่วไป แต่เชื่อว่าแฟนคลับกว่า 80 เปอร์เซ็นต์คาดหวังจะได้ดูบันทึกการแสดงเต็มๆของเธอ ดังนั้นดีวีดีแผ่นนี้จึงไม่อาจสนองความต้องการของผู้ชมทั่วไปได้ดีนัก ซ้ำร้ายมันอาจจะเป็นการสร้างทัศนคติในเชิงลบต่อตัวศิลปินเสียมากกว่าว่า “ฉันมานั่งดูสารคดีเหรอวะเนี่ย”

จะว่าไป I Am Tour จัดได้ว่ามีโมเมนต์ที่น่าจดจำอยู่หลายช่วงไม่ว่าจะเป็นตอนเปิดตัวอย่าง Crazy In Love ที่อาศัยท่อนเปิดของเพลง De ja Vu เพื่อเสริมรัศมีความเป็นตัวแม่ของเธอ Smash to you และ Ave Maria ที่ต้องอ้าปากค้างกับคอสตูมชุดแต่งงานที่สวยงามเกินคำบรรยาย เมื่อประกอบกับการกำกับแสงและพลังในการแสดง ยิ่งทำให้เราอินไปกับเพลงมากขึ้น Baby Boy เพลงที่เราถึงกับต้องตะลึงเมื่อบียอนเซ่เหาะได้ พร้อมตีลังกาหลายตลบจดดูแล้วพาลให้นึกถึงสาว Pink เล่นกายกรรมเสี่ยงตายแบบใน FunHouse Tour อย่างช่วง Diva ก็จัดเป็นโมเมนต์ที่น่าสนใจเมื่อคอสตูมเรืองแสงนั่น ขับเน้นให้โชว์ของหล่อนดูแรงขึ้นโดยปริยาย ส่วน Single Lady ก็เป็นเพลงเต้นลืมตายประจำคอนเสิร์ต

ทั้งหมดทั้งมวล เราได้เห็นเพียงแค่เสี้ยวอย่างละหน่อยของคอนเสิร์ตเท่านั้น เพราะหลายครั้งความน่าสนใจของตัวคอนเสิร์ตถูกลดทอนด้วยการตัดต่อดังที่ได้กล่าวมา ด้วยการแทรกภาพการแสดงความรู้สึกของตัวบียอนเซ่เอง การเดินทางไปประเทศต่างๆ และการโชว์ให้เห็นภาพของแต่ละประเทศ

น่าเสียดายเหลือเกินถ้าดีวีดี I Am World Tour จะถูกจัดทำออกมาในรูปแบบที่วางตลาดแบบเดียว เพราะเชื่อว่าหลายต่อหลายคนคงอยากจะดูการแสดงคอนเสิร์ตแบบเต็มๆมากกว่า

ถ้าหาก This is it คือการเล่าสารคดีคอนเสิร์ตให้คนได้เห็นหลายมุมมอง I Am Tour กลับเล่ามุมมองเพียงแค่ตัวศิลปินและแฟนๆที่มาชมคอนเสิร์ตเท่านั้น มันจึงไม่ใช่สารคดีคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกันมันก็ไม่ใช่บันทึกการแสดงสดอีก การเป็นลูกผีลูกคนแบบนี้จึงทำให้คนดูรู้สึกแย่มากกว่าจะชื่นชอบ

สิ่งที่ดีที่สุดของดีวีดีแผ่นนี้คือฟิเจอร์ Behind the Scene ที่ทำให้เรารู้ว่าการจะกำหนดโมเมนต์หนึ่งของคอนเสิร์ตนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่จะทำ แต่ผู้หญิงที่ชื่อบียอนเซ่สามารถนำเสนอมันออกมาได้และสามารถตรึงผู้ชมได้ตลอดการแสดงของเธอในเวลาสองชั่วโมง แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ “สารคดีคอนเสิร์ตแผ่นนี้มีความยาวแค่ชั่วโมงนิดๆเท่านั้น” นั่นเท่ากับว่ามีอีกหลายโมเมนต์ที่หายไป

เราก็ได้แต่หวังว่า เราอาจจะได้เห็นอีกหลายโมเมนต์ผ่านดีวีดีอีกเวอร์ชั่นนึงนะจ๊ะ สาวบี
ลงตีพิมพ์แล้วใน www.pantip.com และ www.onlineza.bloggang.com

วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2550

John Tucker Must Die


John Tucker Must Die บทบันทึกหน้าหนึ่งของช่วงชีวิต




น่าขันอยู่เหมือนกันเนอะ ที่มนุษย์ปุถุชนอย่างเรา เกิดมาล้วนแล้วแต่มีหน้าตาแตกต่างกันไป บางครั้งรูปโฉมออกมาคล้ายพ่อแม่ บางทีละม้ายคนในวงศาคณาญาติ ถึงอย่างนั้นก็ตามที คงจะเป็นบุญตาวาสนาส่งอยู่ไม่น้อย ถ้าหากเกิดมาแล้วรูปมีรูปโฉมหล่อเหลา หรือสวยใสราวกับนางฟ้าลงมาจำแลง หาใช่เกิดมามีใบหน้าเป็นอาวุธ!!!!!!!!

อย่างไรก็ดีที่สวรรค์ยังคงมีตา กระทั่งฟ้าก็ยังมีใจ สร้างสมดุลให้แก่ชีวิตของมนุษย์ด้วยการสร้างความแตกต่างรวมถึงการใส่ข้อบกพร่องไว้ในตัวตนของคนธรรมดาเดินอย่างเราๆด้วย
ดังนั้นแล้วอย่างที่กล่าวมาในข้างต้นว่ามนุษย์ทุกๆคนต่างก็ล้วนมี ”จุดเด่น”หรือ”จุดด้อย” ซึ่งแตกต่างกันออกไป นั่นก็เพราะว่าถ้าหากมนุษย์ทุกคนเกิดมาเหมือนกันหมดแล้ว ใครมันจะไปจดจำได้ว่ามันผู้นั้นเป็นใครกัน

ด้วยเหตุนี้เองความโดดเด่นในรูปร่างหน้าตามันจึงส่งผลให้ วิถีชีวิตมนุษย์ดำเนินเดินทางต่อไปอย่างเปี่ยมสีสัน เต็มไปด้วยทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นหาคู่ครอง การเข้าสังคม ประเมินเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ก็สุดจะแล้วแต่จัดจำแนกกันออกไป

ไม่เพียงเท่านั้นวิถีชีวิตของมนุษย์คงมิได้เดินทางเป็นกราฟเส้นตรง หากแต่ขีดเขียนเป็นเส้นหยักที่ขึ้นลง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หาหลักหรือความมั่นคงได้แสนยากลำบาก เนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถจะกำหนดโชคชะตาของตัวเองได้

เช่นเดียวกันกับ เคท (บริททานีย์ สโนว์) ในเรื่อง John Tucker Must Die ที่รู้สึกว่าตัวเธอไม่ต่างอะไรไปจาก “มนุษย์ล่องหน” ตกอับเรื่องความรัก แถมยังโดนตีตราว่าเป็นพวกขี้แพ้อีกด้วย ถึงอย่างไรก็ดีมันคงไม่เลวร้ายไปกว่า แม่ของเธอซึ่งรูปร่างเซ็กซี่ เร้าฮอร์โมนชายหนุ่มตั้งแต่แรกพบโดยสิ่งที่กล่าว มันช่างตรงข้ามกับบุคลิกของลูกสาวอย่างสิ้นเชิง ทว่าหลังจากคบหาแม่ของเธอได้ไม่นานนักผู้ชายทุกคนก็จะชิ่งหนีหมด ลูกสาวเลยตั้งชื่อผู้ชายเหล่านั้นว่า สกิป (น่าจะมาจากคำว่า Skip แปลว่า ผ่านไป)

ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้เคทจำต้องย้ายบ้านนี้อยู่บ่อยๆ (พล็อตเดียวกันกับคุณแม่ของยัยฮิลลารี่ ดัฟฟ์ในหนังห่วยๆเรื่อง The Perfect Man นั่นแหละ) จนกระทั่งได้มาตั้งหลักปักฐานอยู่ในเมืองบ้านนอกได้ระยะหนึ่ง จนกระทั่งผู้ชายชื่อ จอห์น ทักเกอร์ (เจสซี่ แมคคาร์ฟนีย์) เดินผ่านเข้ามาในชีวิต

จอห์น ทัคเกอร์ หนุ่มรูปหล่อเสมือนนายแบบโดมอนแมนผนวกกับเทพเจ้ากรีก เป็นหัวหน้าทีมบาสเกตบอล บ้านรวย เขาคั่วสาวพร้อมกันทีถึงสามนางซึ่งประกอบไปด้วย แครี่ เชเฟอร์ (อาเรย์รีย์ แคปเบลล์) นักเรียนหัวกะทิมากความสามารถ สาวคนต่อมาคือ เฮ็ธเธอร์ (อาชันติ) หัวหน้าทีมเชียร์ลีดเดอร์ ผิวสีแทน และคนสุดท้าย เบธ (โซเฟีย บุชช์) สาวหัวอนุรักษ์นิยมกินมังสวิรัติ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือว่า จอห์นยังเป็นหนุ่มที่”สับราง”ไม่ให้รถไฟชนกันเก่งเป็นบ้า

จนกระทั่งสาวทั้งสามนางมาพบกันในคลาสวอลเลย์บอล ซึ่งแปนสภาพกลายเป็นศึกชิง “นาย” ขนาดย่อมไปซะได้ เป็นผลให้เคทจำต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ และนี่เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมหัวล้างแค้น เพื่อแสดงพลังของเพศหญิง (อีกแล้วครับท่าน) โดยยืนยันเสียงแข็งว่า “พวกเราจะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของผู้ชายเจ้าชู้อีกแล้วโว้ย”

มองลงไปในตัวของ จอห์น ทัคเกอร์ จะพบว่า เขาช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ คาสโนวา อย่างไม่มีผิดเพี้ยนเพราะนอกจากจะหล่อเหลา มีเสน่ห์ คารมมัดใจสาวรอบข้าง และที่สำคัญเขาสามารถคบหากับผู้หญิงได้ถึงสามคนในเวลาเดียวกัน แถมยังสร้างข้อผูกมัดด้วยสายสัมพันธ์อันเปราะบางระหว่างนารีทั้งสามอีกด้วย
สายสัมพันธ์ที่กล่าวถึงปรากฏขึ้นเมื่อหนังพยามบอกแก่เราว่า จอหน ทัคเกอร์ อาศัยเทคนิคการพูดซึ่งมีเสน่ห์ราวกับสาลิกาลิ้นทอง โน้มน้าวให้ฝ่ายหญิงพยามหาหนทางให้ตนเองกลายเป็นฝ่ายจนแต้ม รวมไปถึงทำให้รู้สึกผิดกับคำพูดของพวกเธอเอง หลีกเลี่ยงการจดจำชื่อสาวๆ แล้วแทนที่ด้วยการเรียกพวกหล่อนว่า “ที่รัก” เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องจำสับสนกัน

การจัดระเบียบในชีวิตของจอห์นจึงน่าสนใจอยู่ไม่น้อยและควรจะหยิบยกมาเป็นตัวอย่าง เอ้ย!!!! มาพิจารณาต่างหาก ซึ่งเทคนิคแพรวพราวเช่นนี้ คงทำให้ชีวิตของเขาล้วนแล้วต้องขึ้นอยู่กับการคิด คำนวณและคาดการณ์ตลอดเวลานั่นเอง

อย่างไรก็ดี อันนารีทั้งสามนางต่างก็ล้วนแต่โกรธแค้นเจ้าผู้ชายมากตัณหา จนพยามรวมตัวกันเพื่อสร้างอุดมการณ์ขึ้นมาว่า “พวกกรู...จะ...ฆ่า...ไอ้...จอห์น...ทัคเกอร์... ให้ตายกันไปข้างนึง” ด้วยการทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเดียวกับคนประเภทที่ไม่น่าคบหาสมาคมด้วย พวกเธอจึงเริ่มเปิดศึกด้วยการสร้างภาพให้เขาเป็นหนุ่มน่ารังเกียจเป็นโรคติดต่อทางเพศจวบจนถึงขึ้นลงมือวางยากันเลยทีเดียว

ถึงอย่างนั้น คนที่มีลูกล่อ ลูกชนแบบจอห์น ทัคเกอร์ ก็มีกึ๋นมากเพียงพอที่จะเปลี่ยนบรรดา “วิกฤต” เหล่านั้นให้กลายมาเป็น”โอกาส”ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับสาวแสนร้ายกาจคนหนึ่งอย่างเรจิน่า จอร์จในเรื่อง Mean Girls ผู้เป็นหน้าเป็นตาของไฮสคูลและเธอนี่แหละคือผู้นำแฟชั่น วิถีชีวิตและทัศนคติของคนในโรงเรียนทั้งหมด

แต่ใช่ว่าเขาจะปราศจากจุดอ่อนเลยซะทีเดียว หากลองวิเคราะห์ดูดีๆจะพบว่า จอห์นยังรับฟัง ผู้หญิงรอบข้างตัวเขาทุกคนไม่ว่าจะเป็นการที่ฝ่ายหญิงเอ่ยปากเตือนว่า “เธอกล้ามเล็กไปนะ” มันส่งผลให้เขา รีบร้อนขวนขวายเฟิร์มหุ่นอย่างหนัก อาจจะสืบเนื่องมาจากเหตุผลที่ว่า คนแบบนายจอห์นเป็นคนซึ่งทุกคนให้ความสนใจ จึงต้องพยามทำให้ตนเองดูดีตลอดเวลาก็เป็นไปได้

ลืมบอกไปว่า จอห์น ทักเกอร์มีน้องชายอีกหนึ่งคนแต่เขาทั้งไม่หล่อ ไม่มีเสห่ห์ บุคลิกออกจะเซอร์ๆและเอ๋อๆเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่จริงตัวหนังเองไม่ได้พาเราไปรู้จักความสมัครสมานมีความเชื่อมโยงระหว่างพี่น้อง ทัคเกอร์เลยแม้แต่น้อย มันจึงสามารถสะท้อนสภาพของตัวละครทั้งสองว่า พวกเขาแม้ว่าจะเป็นพี่น้องกันก็ตามทีแต่ “ฐานะทางสังคม” คือตัวแบ่งแยกระหว่างคำว่าพี่น้องได้โดยปริยาย

ในขณะตัวละครอย่าง เคท ก็ดันไปใกล้เคียงกับ ซินเดอเรล่า โดยบังเอิญ อาจจะไม่ตรงกันร้อยทั้งร้อย แต่องค์ประกอบบางอย่างก็คล้ายกันอยู่เนืองๆ ไม่ว่าชีวิตไร้ความสุขเปรียบกันกับนางซินก็เทียบเท่าตอนเธอต้องกลายไปเป็นคนใช้ของบ้าน การที่เคทมีสภาพเหมือนคนไร้ตัวตนก็คล้ายกับตอนสาวในนิยายคนนี้โดนกลั่นแกล้งรังแก หรือกระทั่งการเปลี่ยนแปลงโฉมของเคทให้กลายเป็นสาวงามเพื่อคว้าหัวใจของจอห์นมาก็เหมือนช่วงขณะนางฟ้าลงมาเสกชุดไปงานเต้นรำให้ซินเดอเรล่านั่นแหละ

น่าสนใจเรื่องเปลี่ยนแปลงโฉมของเคท เปรียบได้กับการยำใหญ่นำบุคลิกของสาวของจอห์น ทักเกอร์ทั้งสามคนมาผสมปรุงแต่งให้หลอมรวมมาอยู่ในตัวเธอ นั่นหมายความว่า ถ้าเกิดเขาหลงรักผู้หญิงคนนี้ นั่นเท่ากับว่าเจ้าคาสโนว่าหนุ่มตกหลุมรักถ่านไฟเก่าทั้งสามในร่างของหญิงสาวที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้แค้นตัวของเขาเอง !?!?
ส่วนผสมของเคทจึงมีทั้งบุคลิกแบบปากกล้าอย่างเชียร์ลีดเดอร์ ผสมสาวหัวแข็ง นักอนุรักษ์นิยมและเก่งเรื่องการจัดการไปในตัว แต่อย่างไรก็ดีในหัวใจของเธอคงจะรู้ดีว่าคนที่เป็น “เปลือกนอก” ในตอนนี้มิใช่ตัวตนอันแท้จริง

ขณะที่ตัวตนที่แท้จริงของเคท เป็นบุคคลที่คิดว่าโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้ประกอบไปด้วย คนประเภทที่เห็นแก่ได้กับคนที่ยอมได้ทุกอย่าง ทว่าขณะเดียวเธอยังแอบหวังอยู่ในใจลึกๆว่า ถ้าหากชีวิตจริงของมนุษย์ มันน่าจะง่ายดายแบบในเพลงรักซึ่งหากคิดจะรักกันมันก็จบ ไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืด ซึ่งความคิดแบบนั้นอาจจะแทบไม่มีโอกาสเป็นจริงได้เลยก็ตามที

จะชี้ให้เห็นว่าคนแบบเคทไม่จำเป็น ต้องใส่บุคลิกมากมายลงไปในตัวเธอ เพราะในตัวตนที่แท้จริง ยังมีในสิ่งที่ผู้ชายทุกคนต้องการอยู่แล้วนั่นคือ “ความอบอุ่นและความอ่อนโยน” หาใช่ความหยาบกร้านและอารมณ์เสน่ห์หา” แบบเดียวกับผู้หญิงหลายๆคนยอมจัดแจงตัวเองเพื่อถวายใส่พาน รอประเคนให้ผู้ชาย
ดังคำกล่าวของน้องชายของจอห์น ทัคเกอร์มีใจความว่า ผู้หญิงทุกคนต่างก็รู้ถึงสันดานเลวของผู้ชายบางประเภทที่โกหกเพื่อให้ผู้หญิงหลงรัก หากแต่รักจริงหรือหวังแค่เพียงเซ็กส์อันร้อนแรง เมื่อทุกเสร็จสิ้นและจบลง ความสัมพันธ์เหล่านั้นก็หมดความหมาย กระนั้นแล้วหญิงสาว ก็ยังเต็มอกเต็มใจเข้าคิวให้คนแบบนั้นหลอก นั่นนะหรือคือสิ่งที่เรียกกันว่า “ความรัก”

จริงอยู่ที่ความพยามจะให้จอห์นมาตกหลุมรักเคท เป็นผลให้คนแบบเขาจำต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้คนอันเป็นที่รักให้หันมาสนใจ ในทางตรงกันข้าม ตัวของเคทเองต้องผสมผสานจริตแบบสาวร่านใจแตกลงไปในตัวตนของเธอ ทั้งที่จริงเธอเองคงจะขยาดอยู่ไม่น้อยกับสิ่งต้องทำเพราะว่า บรรดาสิ่งต่างเหล่านี้ก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่ไม่ไกลนั่นคือ แม่ของเธอเองนั่นแหละ

ทว่าในขณะที่ในหัวเคทคิดว่า แม่ของเธอไม่สามารถเป็น “แบบอย่าง” ให้กับชีวิตได้ กระนั้นความบกพร่องของแม่เธอยังนำมาซึ่งบทเรียนสำคัญ ด้วยการอาศัยประสบการณ์ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนและผู้ชายมากหน้าหลายตา จึงนำข้อคิดอย่างหนึ่งมาตักเตือนลูกสาวด้วยความหวังดีว่า ความรักมันมิใช่การ “แกล้ง” เพราะถ้าหากความรักที่แท้จริงมันมาถึงตัวแล้ว วันนั้นแหละคนที่”เจ็บ”จะเป็นตัวเราเอง เนื่องจากนั่นมันมิใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา

มันช่างเป็นข้อความน่าขบคิดสำหรับคนที่กำลังล้อเล่นกับคำซึ่งไม่อาจจะนิยามความหมายของมันได้นั่นคือ “รัก”

ขณะเรื่องราวต่างๆเริ่มผนวกเข้าที่เข้าทางและใกล้ถึงบทสรุป ในจิตใจของสาวทั้งสามรวมถึงเคทด้วยก็ตาม มันกลับมาอยู่ในสภาพเดียวกันตอนแรกอีกครั้ง นั่นคือตบตีกันเพื่อแย่งผู้ชายคนเดิมเนื่องจากสาเหตุเพียงของสำคัญแค่ชิ้นหนึ่งหนึ่ง เพราะไม่ว่าทั้งสามจะดำรงอยู่ในฐานะแฟนหรือเป็นคนที่พยามแก้แค้นก็ตาม สิ่งเหล่านี้มิได้ต่างไปจากการหมกมุ่นอยู่กับผู้ชายที่ชื่อ จอห์น ทักเกอร์อยู่ดีนั่นแหละ

ดังนั้นความตั้งใจของทั้งสี่สาวซึ่งเคยออกลั่นวาจาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ สุดท้ายพวกเธอก็ไม่สามารถก้าวไกลไปกว่าพวกผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหยื่อของผู้ชายจอมเจ้าชู้ ซ้ำร้ายการยืนหยัดเพื่อแสดงจุดยืนของเพศหญิงของทั้งสี่ยังเอยด้วยการ “สาด” ใส่จากเพศชายผู้คิดว่า ชายก็ตามสามารถ”ได้” ผู้หญิงนั่นแหละคือสุดยอดของชาติชาย สมควรได้รับการนับหน้าถือตา

น่าสงสารว่าบรรดาอุดมการณ์เหล่านั้นท้ายที่สุดก็กลายเป็นธาตุอากาศซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการสนับสนุน ทว่าบัดนี้สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นแค่เพียง”อดีต” ที่สร้างบทเรียนให้กับชีวิตของพวกเขาและเธอ ให้กลายเป็นบันทึกหน้าหนึ่งของช่วงชีวิต

แม้ว่าผลสุดท้ายบางคนได้กลายไปเป็นตำนาน บางคนได้รับบทเรียน เปลี่ยนแปลงทัศนคติ (ซึ่งไม่รู้ว่าดีขึ้นหรือเลวลง) อีกคนได้รับความสนใจอีกครั้ง และอีกหลายคนที่กลายมาเป็นมิตรภาพใหม่ นั่นยังแสดงให้เรารู้ว่าการเดินทางของชีวิตมนุษย์ทุกคนล้วนต้องผ่านร้อนและหนาว เกี่ยวเก็บประสบการณ์ที่อยู่ตามรายทางของชีวิต

เพราะว่าชีวิตของมนุษย์นั้นมันคือการเดินทางมิใช่เหรอ ?







วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ภาคต่อแบบนี้จะมีมาทำเพื่อ ? ตอนที่ 2




The Prince & Me 2: The Royal Wedding (รักนายเจ้าชายของฉัน 2 วิวาห์อลเวง)
กำกับโดย แคทเธอรีน ไซแรน แสดง ลุค เมลบลีย์ แคม เฮสกิ้น ไคลเมย์ซี่ มอร์ตัน ฮิลล์
ความเดิมตอนที่แล้ว
ใน The Prince & Me เพจ(จูเลีย สไตล์) นักเรียนไฮสคูลที่วันๆเอาแต่คร่ำเคร่งกับการเรียนด้วยความหวังอันแรงกล้าว่าสักวันเธอต้องเป็นหมอให้ได้ในขณะที่ เอ็ดเวิร์ด (ลุค เมลบลีย์)เจ้าชายแห่งเดนมาร์กตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพื่อค้นหาตัวเอง เขาจึงปลอมตัวเป็นนักเรียนที่มหาลัยเดียวกันกับเพจ แรกเริ่มทั้งสองพบหน้ากันโดยไม่ถูกชะตา แต่สุดท้ายเรื่องราวก็ดำเนินไปตามตำหรับเทพนิยายชวนฝัน


เรื่องย่อในภาค 2 เรื่องราวเริ่มในภาคสอง เล่าถึงการวางแผนแต่งงานระหว่างเพจและเอ็ดเวิร์ดกลับเต็มไปด้วยอุปสรรคเมื่อกฎของราชวงศ์บัญญัติว่าถ้าหากเจ้าชายแต่งงานกับหญิงสามัญชนจะต้องสละราชสมบัติทั้งหมด

สร้างมาทำเพื่อ เพื่อทำลายความเป็นเทพนิยายชวนฝัน ซึ่งหนังภาคแรกก็ไม่ใช่ว่าจะดิบดีขนาดจะต้องสร้างภาคต่อแต่เนื่องจากเสน่ห์อันเปี่ยมล้นของดารานำอย่างจูเลีย สไตล์จึงทำให้หนังภาคแรกกลายเป็นลูกอมรสหวานที่ไม่เลี่ยนแต่อย่างใด ทว่าเมื่อเปลี่ยนดารานำหญิงในภาคสองหนังจึงกลายรสไปเป็นขมซะอย่างนั้นเนื่องจากเธอเล่นภาพยนตร์ได้แข็งยิ่งกว่าอะไรดีและที่สำคัญขอถามทีมงานหน่อยเถอะไปหาโลเคชั่นแถวไหนฟะถึงถ่ายพระราชวังเดนมาร์กให้แลดูคล้ายกับห้องแถวขายของชำไปซะได้

สรุปว่า ถ้าหากคุณหลงใหลได้ปลื้มและบูชาหนังภาคแรกว่าสนุก น่ารัก อบอุ่น ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะหยิบภาค 2 มาดูต่อ แต่คุณควรเลือกภาคนี้มาดูในกรณีที่ละครน้ำเน่าหลังข่าวมันตบกันจนจบแล้วอยากเข้านอนแต่นอนไม่หลับนี้คือยาขนานเอกที่จะพาคุณสู่ห้วงนิทรา



Urban Legends: Bloody Mary (ปลุกตำนานโหด 3: แรงผีแค้น)
กำกับโดย แมร์รี่ แลมเบิร์ต นำแสดง เคธ มารี่, โรเบิร์ต วีโต้, ทีน่า ลิฟฟอร์ด
ความเดิมตอนที่แล้วใน
Urban Legends, Urban Legends Final-Cut ภาคแรกเรื่องสยองขวัญเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยอิงแลนด์ เล่าถึงตำนานเล่าขานโบราณกำลังกลายมาเป็นเรื่องจริงเมื่อนักศึกษาถูกฆ่าตายไปทีละคน เหล่านักศึกษาเหล่านั้นจึงเริ่มออกตามหาความจริงแต่เมื่อยิ่งเข้าใกล้มากเพียงใดอันตรายก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น ทางด้านภาคสองเล่าถึงเอมี่นักศึกษาสาขาภาพยนตร์ที่หยิบยกตำนานพื้นบ้านมาทำหนัง แต่ทว่าระหว่างถ่ายทำตำนานเหล่านั้นก็เริ่มฆ่าคนในกองถ่ายไปทีละคน

เรื่องย่อในภาค 3 ในปี 1969 แมรี่ แบนเนอร์โดนฆ่าตายอย่างสยดสยองจนเวลาล่วงเลยถึงปัจจุบันหญิงสาวกลุ่มหนึ่งพบว่ามีเหตุการณ์ฆาตกรรมแปลกประหลาดที่คล้ายคลึงกับในตำนาน พวกเขาจึงต้องร่วมมือกันค้นหาความจริงก่อนทุกอย่างจะสายเกินแก้

สร้างมาทำเพื่อ เพื่อรวมเป็นคอลเล็กชั่นหนังไตรภาค (ที่ไม่รู้ทำเพื่ออะไร) สืบเนื่องมาจากหนังภาคแรกเป็นหนังสยองขวัญไล่เชือดที่ดูสนุกและน่ากลัวก่อนจะโดนลดทอนความระทึกแต่ขายฉากชวนแหวะในภาคสองและกลายเป็น Scary Movie ไปในภาคสามเพราะเรื่องราวในภาคนี้นอกจากจะเละตุ้มเปะแล้วคนสร้างหนังเองก็คงสับสนว่าตัวเองกำลังทำหนังฆาตกรโรคจิตหรือหนังผีกันแน่เพราะหนังเล่นยำรวมมิตรกันไปหมดแถมอุตริสรรหาวิธีการเชือดตัวละครแบบประหลาดอาทิแมงมุมคลานเข้าไปในปากแล้วไชออกหู วิ่งชนกระจกตาย และอื่นๆที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมบรรดาตัวละครในหนังถึงโง่กันนักวะเนี่ย ที่สำคัญหนังยังได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลโกลเดน ทริลเลอร์อวอร์ดในสาขา “ขยะยอดเยี่ยม” อีกด้วย

สรุปว่า ถ้าดูแบบไม่คิดอะไรตาม ย้ำไม่ให้คิดอะไรทั้งนั้นหนังเรื่องนี้จะเป็นความบันเทิงระดับเดียวกันกับ Scary Movie เลยทีเดียวเพราะหนังมีฉากฮาๆน้ำหูน้ำตาเล็ดมากมายถ้าอยากรู้ว่าเป็นเช่นไรเราแนะนำให้คุณลองหาตัวอย่างมันมาดูกันก่อนอาทิลองค้นหาใน YouTube ดูแล้วคุณจะพบกับความสยองขวัญที่พลันเป็นคามฮาในบัลดล


The Butterfly Effect 2 (เปลี่ยนตายไม่ให้ตาย 2)
กำกับโดย จอห์น อาร์ ลีโอ เนติ แสดง อีริค ลีฟวี เอริกา ดูแรน ดัสติน มิลลิแกน
ความเดิมตอนที่แล้วใน
The Butterfly Effect ในวัยเด็กอีแวน (แอชชัน คุชเชอร์) ต้องคอยพบจิตแพทย์เป็นประจำเนื่องจากความทรงจำของเขาจะขาดหายไปเป็นช่วงๆและเกิดอาการวูบแบบประหลาด ขณะที่ช่วงวัยรุ่นเขาพบกับสมุดโน้ตที่ทำให้ย้อนเวลากลับไปในช่วงความทรงจำที่ขาดหาย แต่แล้วอีแวนได้เปลี่ยนเหตุการณ์บางอย่างในอดีตโดยหารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นทำให้เกิดหายนะตามมามากกว่าที่เขาคาดคิด

เรื่องย่อในภาค 2 นิค ลาร์สัน (เอริค ไลฟ์ลี่) กำลังไปได้ดีในเรื่องการงานและความรักทางด้านแฟนสาวจูลี่ (เอริก้า ดูแรน)ก็หวังไว้ว่าหลังจากแต่งงานแล้วเธอจะเปิดแกลลอรี่ส่วนตัว ทว่าทุกอย่างกลับพลิกพันเมื่อจูลี่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทำให้นิคอยู่ในความเศร้าจนเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปี เหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเมื่อเขามองรูปถ่ายเขาจะสามารถย้อนเวลากลับไปได้ แต่ทว่าทุกครั้งที่ย้อนเวลาไปก็เหมือนว่านิคจะยิ่งเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างให้แย่ลงเรื่อยๆ

สร้างมาทำเพื่อ ขายพล็อตเรื่องเก๋ๆกับการดัดแปลงเนื้อเรื่องให้ต่างจากเดิม แต่ที่น่าสนใจมากตรงที่ประเทศอเมริกาและโซนยุโรปหนังเรื่องนี้ถูกส่งตรงลงดีวีดี ทว่าประเทศไทยและโซนเอเชียกลับปูพรมแดงฉายจอภาพยนตร์เลยแต่นับว่ายังดีที่หนังในภาคนี้แม้ว่าจะเดินโครงเรื่องเดิมๆแต่ตัวหนังก็ยังมีลูกเล่นให้ผู้ชมแอบลุ้นได้ไปกับเรื่องราวชวนขบคิดและคาดเดาตอนจบไปต่างๆนาๆ

สรุปว่า หากคุณชอบความเก๋ในพล็อตเรื่องในภาคแรกแล้ว เรื่องในภาคสองก็ดูสนุกแม้ดีกรีดาราและความบันเทิงอาจจะเป็นรองภาคแรกอยู่ไม่น้อยทว่าหนังยังอุตสาห์ใส่ฉากประเภททำให้คนดูตาลุกวาวได้ไม่น้อยกว่า 2 ฉากจึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจว่าทำไมบางคนบอกว่าหนังภาคนี้ดูลุ้นกว่าภาคแรก (สงสัยด้วยเหตุผลนี้นี่เอง)


Species 3 (สายพันธุ์มฤตยู กำเนิดใหม่พันธุ์นรก)
กำกับโดย แบรด เทอร์เนอร์ แสดง นาตาชา เฮ็นสตริจ์ ซันนี่ แมบรี่ เอมิเลีย คุก
ความเดิมตอนที่แล้วใน
Species1-2 เมื่อนักวิทยาศาสตร์นำเชื้อของมนุษย์ผสมกับเอเลี่ยนกลายร่างเป็นอีฟ(นาตาชา เฮ็นสตริจ์) มนุษย์เอเลี่ยนสาว แต่การทดลองผิดพราดทำให้เธอหนีออกมาจากศูนย์วิจัยเพื่อแพร่พันธุ์มฤตยู ส่วนด้านภาคสองแพททริคนักบินอากาศที่ได้รับเชื้อมนุษย์ต่างดาว เมื่อกลับมายังโลกเขาออกผสมพันธุ์กับหญิงสาวเพื่อแพร่พันธุ์เอเลี่ยน ทางการจึงส่งอีฟพันธุ์ใหม่ที่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้นออกตามหาแพททริคโดยหารู้ไม่ว่าสันชาตญาณเพศแม่ทำให้อีฟผลักดันให้เธอหนีไปกับเพททริคเพื่อขยายพันธุ์เอเลี่ยนที่สมบูรณ์แบบ

เรื่องย่อในภาค 3 การต่อสู้ของมนุษย์กับมนุษย์ครึ่งเอเลี่ยนยังคงดำเนินต่อแต่ความอ่อนแอของฝ่ายหลังทำให้มนุษย์ชนะเรื่อยไปจนกระทั่ง ซาร่าลูกสาวของอีฟถือกำเนิดขึ้นเป็นสายพันธุ์ที่แกร่งยิ่งกว่าเก่า เธอออกตามล่าหาคู่เพื่อแพร่เผ่าพันธุ์นั่นเป็นเหตุผลให้บรรดากองทัพต่างเร่งตามหาเธอเป็นการด่วน

สร้างมาทำเพื่อ ขายเรือนร่างของสตรีโดยเฉพาะเพราะสองภาคแรกได้ปั้นให้นาตาชา เฮ็นสตริจ์ กลายเป็นเซ็กซี่สตาร์ได้ภายหลังที่หนังออกฉาย(แต่ปัจจุบันหายไปไหนแล้วไม่ทราบ) ซีรีย์ไซไฟชุดนี้จึงเปรียบเหมือนการเฟ้นหาหญิงสาวหุ่นดี หน้าตาพอไปวัดไปวาได้มารับบทเอเลี่ยนเพศแม่จึงเป็นอะไรที่ยากเสียเหลือเกิ้น (ประชดเพราะใครอยากจะเกิดเปลืองตัวหน่อยก็ดังได้แล้ว) แต่เหนืออื่นใดดาราสาวอย่างซันนี่ แมบรี่ปัจจุบันนี้ก็รับจ้างเล่นซีรีย์ทั่วไปและหนังอีกหลายเรื่องที่จะฉายตามโรงในปีหน้า จึงไม่น่าแปลกใจว่าเสื้อผ้ายิ่งน้อยชิ้นยิ่งปั้นให้คนดังได้ในชั่วข้ามคืน (แต่อาชีพการงานจะยั่งยืนนั้นเป็นอีกเรื่องดู “น้องแนต”เป็นตัวอย่าง)

สรุป หนังดูสนุกได้อรรถรสไม่น้อยแม้เรื่องราวจะซ้ำซากไปหน่อยแต่อย่างน้อยมันก็เข้าข่ายหนังเกรดบีที่ขายความบันเทิงแบบเต็มๆ (เรือนรางสตรี ฉากแอคชั่นเวอร์ๆไร้เหตุผลรองรับ และตอนจบทิ้งท้ายในการสร้างภาคต่อได้ข่าวว่าภาคที่ 4 นั้นจะออกแผ่นในเร็ววัน ซึ่งนางเอกหน้าใหม่ที่มารับบทนี้คือ เฮเลน่า เมทสัน หน้าตาน่ารักทีเดียวล่ะ


Wrong Turn 2: Dead End (หวีด เขมือบคน 2)
กำกับ โจว์ ลินช์ แสดง เอริก้า เรียเซ่น เฮนรี่ โรวลิน แท็กซัส แบทเบิล
ความเดิมตอนที่แล้วใน
Wrong Turn กลุ่มเพื่อน 6 คนขับรถเลี้ยวมาผิดทาง ไม่ทันไรยางก็แตกแบบไม่ทราบสาเหตุ เมื่อพวกเขาออกขอความช่วยเหลือ เพื่อนๆก็เริ่มหายตัวไปอย่างลึกลับทีละคนก่อนการปรากฏตัวของมนุษย์กินคนที่ออกล่าเนื้อมนุษย์

เรื่องย่อในภาค 2 เมื่อรายการเรียลลิตี้นำผู้แข่งขันมาทิ้งไว้ในป่าเพื่อให้เอาชีวิตรอด โดยหารู้ไม่ว่าป่านี้เป็นที่อยู่ของมนุษย์กินคนกระหายเลือด บรรดาผู้แข่งขันจึงต้องเอาชีวิตรอดให้ได้ก่อนจะกลายเป็นอาหาร

สร้างมาทำเพื่อ เทิดทูนบูชาภาคต่อที่อุดมไปด้วยฉากชวนแหวะอาทิเอาขวานจามหัว มีดเสียบทะลุคอหอย เอาลวดหนามครูดผิวหนังออก ตัวประหลาดมีเซ็กส์กัน อูยรวมบรรดาฉากอุจาดตา ทุเรศทุรังไว้เป็นพะเรอเกวียน แต่อย่างไรก็ดีหนังภาคนี้กลับดูสนุกกว่าภาคแรกอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าโปรดักชั่นจะดูราคาถูกไปหน่อยก็ตามทีแต่ปริมาณเลือดในหนังเรียกได้ว่าถ้าจะมาทำก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตกนี่ ท่าทางจะไว้ขายได้อีกสักปีสองปีเลย

สรุปว่า ถ้าคุณเป็นสาวกหนังไล่เชือด เลือดสาดเรื่องนี้ไม่ควรพลาด (ปล.คุณภาพอาจะใกล้เคียงกับ The Hill Have Eyes 2 ถ้าคุณไม่ชอบเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ควรจะหยิบมาชม)


The Net 2.0 (เดอะเน็ท อินเตอร์เนทนรก 2)
กำกับ ชาร์ลส์ วิงค์เลอร์ แสดง นิคกี้ เดอโลช เดเม็ท แอ็คแบ็ก
ความเดิมตอนที่แล้วใน
The Net (ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับภาคนี้) แองเจล่า (แซนดร้า บูลล็อก) นักโปรแกรมเมอร์ขี้เหงาวันๆเอาแต่ทำงาน เธอจะพักผ่อนแค่เพียงไปออกเยี่ยมแม่และพูดคุยกับคนในอินเตอร์เน็ต จนกระทั่งวันหนึ่งเธอพบว่าข้อมูลทางตำรวจ, ประวัติและบัญชีต่างๆล้วนหายไปโดยไร้สาเหตุทำให้แองเจล่ากำลังตกอยู่ในอันตรายครั้งใหญ่หลวง

เรื่องย่อในภาค 2.0 โปรแกรมเมอร์สาวต้องพบกับอันตรายโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อเดินทางถึงอิสตันบูลเพื่อเริ่มงานใหม่เธอกลับพบว่าหลักฐานต่างๆที่บ่งชี้ความมีตัวตนของเธอกำลังถูกใครบางคนขโมยไป

สร้างมาทำเพื่อ ก็อปปี้เนื้อเรื่องทั้งหมดจากภาคแรกมาใส่ใหม่ในภาคสองเนื่องจากทั้งหมดทั้งมวลไร้ซึ่งความแปลกใหม่ ไร้ฉากระทึกไม่ติดเก้าอี้และที่สำคัญมันไม่ต่างอะไรจากภาคแรกเลยสักนิด

สรุป แล้วแต่วิจารณญาณ ถ้าหากยังไม่เคยชมภาคแรกคุณอาจจะบอกว่าหนังเรื่องนี้สนุกเป็นได้