วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2550

John Tucker Must Die


John Tucker Must Die บทบันทึกหน้าหนึ่งของช่วงชีวิต




น่าขันอยู่เหมือนกันเนอะ ที่มนุษย์ปุถุชนอย่างเรา เกิดมาล้วนแล้วแต่มีหน้าตาแตกต่างกันไป บางครั้งรูปโฉมออกมาคล้ายพ่อแม่ บางทีละม้ายคนในวงศาคณาญาติ ถึงอย่างนั้นก็ตามที คงจะเป็นบุญตาวาสนาส่งอยู่ไม่น้อย ถ้าหากเกิดมาแล้วรูปมีรูปโฉมหล่อเหลา หรือสวยใสราวกับนางฟ้าลงมาจำแลง หาใช่เกิดมามีใบหน้าเป็นอาวุธ!!!!!!!!

อย่างไรก็ดีที่สวรรค์ยังคงมีตา กระทั่งฟ้าก็ยังมีใจ สร้างสมดุลให้แก่ชีวิตของมนุษย์ด้วยการสร้างความแตกต่างรวมถึงการใส่ข้อบกพร่องไว้ในตัวตนของคนธรรมดาเดินอย่างเราๆด้วย
ดังนั้นแล้วอย่างที่กล่าวมาในข้างต้นว่ามนุษย์ทุกๆคนต่างก็ล้วนมี ”จุดเด่น”หรือ”จุดด้อย” ซึ่งแตกต่างกันออกไป นั่นก็เพราะว่าถ้าหากมนุษย์ทุกคนเกิดมาเหมือนกันหมดแล้ว ใครมันจะไปจดจำได้ว่ามันผู้นั้นเป็นใครกัน

ด้วยเหตุนี้เองความโดดเด่นในรูปร่างหน้าตามันจึงส่งผลให้ วิถีชีวิตมนุษย์ดำเนินเดินทางต่อไปอย่างเปี่ยมสีสัน เต็มไปด้วยทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นหาคู่ครอง การเข้าสังคม ประเมินเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ก็สุดจะแล้วแต่จัดจำแนกกันออกไป

ไม่เพียงเท่านั้นวิถีชีวิตของมนุษย์คงมิได้เดินทางเป็นกราฟเส้นตรง หากแต่ขีดเขียนเป็นเส้นหยักที่ขึ้นลง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หาหลักหรือความมั่นคงได้แสนยากลำบาก เนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถจะกำหนดโชคชะตาของตัวเองได้

เช่นเดียวกันกับ เคท (บริททานีย์ สโนว์) ในเรื่อง John Tucker Must Die ที่รู้สึกว่าตัวเธอไม่ต่างอะไรไปจาก “มนุษย์ล่องหน” ตกอับเรื่องความรัก แถมยังโดนตีตราว่าเป็นพวกขี้แพ้อีกด้วย ถึงอย่างไรก็ดีมันคงไม่เลวร้ายไปกว่า แม่ของเธอซึ่งรูปร่างเซ็กซี่ เร้าฮอร์โมนชายหนุ่มตั้งแต่แรกพบโดยสิ่งที่กล่าว มันช่างตรงข้ามกับบุคลิกของลูกสาวอย่างสิ้นเชิง ทว่าหลังจากคบหาแม่ของเธอได้ไม่นานนักผู้ชายทุกคนก็จะชิ่งหนีหมด ลูกสาวเลยตั้งชื่อผู้ชายเหล่านั้นว่า สกิป (น่าจะมาจากคำว่า Skip แปลว่า ผ่านไป)

ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้เคทจำต้องย้ายบ้านนี้อยู่บ่อยๆ (พล็อตเดียวกันกับคุณแม่ของยัยฮิลลารี่ ดัฟฟ์ในหนังห่วยๆเรื่อง The Perfect Man นั่นแหละ) จนกระทั่งได้มาตั้งหลักปักฐานอยู่ในเมืองบ้านนอกได้ระยะหนึ่ง จนกระทั่งผู้ชายชื่อ จอห์น ทักเกอร์ (เจสซี่ แมคคาร์ฟนีย์) เดินผ่านเข้ามาในชีวิต

จอห์น ทัคเกอร์ หนุ่มรูปหล่อเสมือนนายแบบโดมอนแมนผนวกกับเทพเจ้ากรีก เป็นหัวหน้าทีมบาสเกตบอล บ้านรวย เขาคั่วสาวพร้อมกันทีถึงสามนางซึ่งประกอบไปด้วย แครี่ เชเฟอร์ (อาเรย์รีย์ แคปเบลล์) นักเรียนหัวกะทิมากความสามารถ สาวคนต่อมาคือ เฮ็ธเธอร์ (อาชันติ) หัวหน้าทีมเชียร์ลีดเดอร์ ผิวสีแทน และคนสุดท้าย เบธ (โซเฟีย บุชช์) สาวหัวอนุรักษ์นิยมกินมังสวิรัติ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือว่า จอห์นยังเป็นหนุ่มที่”สับราง”ไม่ให้รถไฟชนกันเก่งเป็นบ้า

จนกระทั่งสาวทั้งสามนางมาพบกันในคลาสวอลเลย์บอล ซึ่งแปนสภาพกลายเป็นศึกชิง “นาย” ขนาดย่อมไปซะได้ เป็นผลให้เคทจำต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ และนี่เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมหัวล้างแค้น เพื่อแสดงพลังของเพศหญิง (อีกแล้วครับท่าน) โดยยืนยันเสียงแข็งว่า “พวกเราจะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของผู้ชายเจ้าชู้อีกแล้วโว้ย”

มองลงไปในตัวของ จอห์น ทัคเกอร์ จะพบว่า เขาช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ คาสโนวา อย่างไม่มีผิดเพี้ยนเพราะนอกจากจะหล่อเหลา มีเสน่ห์ คารมมัดใจสาวรอบข้าง และที่สำคัญเขาสามารถคบหากับผู้หญิงได้ถึงสามคนในเวลาเดียวกัน แถมยังสร้างข้อผูกมัดด้วยสายสัมพันธ์อันเปราะบางระหว่างนารีทั้งสามอีกด้วย
สายสัมพันธ์ที่กล่าวถึงปรากฏขึ้นเมื่อหนังพยามบอกแก่เราว่า จอหน ทัคเกอร์ อาศัยเทคนิคการพูดซึ่งมีเสน่ห์ราวกับสาลิกาลิ้นทอง โน้มน้าวให้ฝ่ายหญิงพยามหาหนทางให้ตนเองกลายเป็นฝ่ายจนแต้ม รวมไปถึงทำให้รู้สึกผิดกับคำพูดของพวกเธอเอง หลีกเลี่ยงการจดจำชื่อสาวๆ แล้วแทนที่ด้วยการเรียกพวกหล่อนว่า “ที่รัก” เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องจำสับสนกัน

การจัดระเบียบในชีวิตของจอห์นจึงน่าสนใจอยู่ไม่น้อยและควรจะหยิบยกมาเป็นตัวอย่าง เอ้ย!!!! มาพิจารณาต่างหาก ซึ่งเทคนิคแพรวพราวเช่นนี้ คงทำให้ชีวิตของเขาล้วนแล้วต้องขึ้นอยู่กับการคิด คำนวณและคาดการณ์ตลอดเวลานั่นเอง

อย่างไรก็ดี อันนารีทั้งสามนางต่างก็ล้วนแต่โกรธแค้นเจ้าผู้ชายมากตัณหา จนพยามรวมตัวกันเพื่อสร้างอุดมการณ์ขึ้นมาว่า “พวกกรู...จะ...ฆ่า...ไอ้...จอห์น...ทัคเกอร์... ให้ตายกันไปข้างนึง” ด้วยการทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเดียวกับคนประเภทที่ไม่น่าคบหาสมาคมด้วย พวกเธอจึงเริ่มเปิดศึกด้วยการสร้างภาพให้เขาเป็นหนุ่มน่ารังเกียจเป็นโรคติดต่อทางเพศจวบจนถึงขึ้นลงมือวางยากันเลยทีเดียว

ถึงอย่างนั้น คนที่มีลูกล่อ ลูกชนแบบจอห์น ทัคเกอร์ ก็มีกึ๋นมากเพียงพอที่จะเปลี่ยนบรรดา “วิกฤต” เหล่านั้นให้กลายมาเป็น”โอกาส”ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับสาวแสนร้ายกาจคนหนึ่งอย่างเรจิน่า จอร์จในเรื่อง Mean Girls ผู้เป็นหน้าเป็นตาของไฮสคูลและเธอนี่แหละคือผู้นำแฟชั่น วิถีชีวิตและทัศนคติของคนในโรงเรียนทั้งหมด

แต่ใช่ว่าเขาจะปราศจากจุดอ่อนเลยซะทีเดียว หากลองวิเคราะห์ดูดีๆจะพบว่า จอห์นยังรับฟัง ผู้หญิงรอบข้างตัวเขาทุกคนไม่ว่าจะเป็นการที่ฝ่ายหญิงเอ่ยปากเตือนว่า “เธอกล้ามเล็กไปนะ” มันส่งผลให้เขา รีบร้อนขวนขวายเฟิร์มหุ่นอย่างหนัก อาจจะสืบเนื่องมาจากเหตุผลที่ว่า คนแบบนายจอห์นเป็นคนซึ่งทุกคนให้ความสนใจ จึงต้องพยามทำให้ตนเองดูดีตลอดเวลาก็เป็นไปได้

ลืมบอกไปว่า จอห์น ทักเกอร์มีน้องชายอีกหนึ่งคนแต่เขาทั้งไม่หล่อ ไม่มีเสห่ห์ บุคลิกออกจะเซอร์ๆและเอ๋อๆเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่จริงตัวหนังเองไม่ได้พาเราไปรู้จักความสมัครสมานมีความเชื่อมโยงระหว่างพี่น้อง ทัคเกอร์เลยแม้แต่น้อย มันจึงสามารถสะท้อนสภาพของตัวละครทั้งสองว่า พวกเขาแม้ว่าจะเป็นพี่น้องกันก็ตามทีแต่ “ฐานะทางสังคม” คือตัวแบ่งแยกระหว่างคำว่าพี่น้องได้โดยปริยาย

ในขณะตัวละครอย่าง เคท ก็ดันไปใกล้เคียงกับ ซินเดอเรล่า โดยบังเอิญ อาจจะไม่ตรงกันร้อยทั้งร้อย แต่องค์ประกอบบางอย่างก็คล้ายกันอยู่เนืองๆ ไม่ว่าชีวิตไร้ความสุขเปรียบกันกับนางซินก็เทียบเท่าตอนเธอต้องกลายไปเป็นคนใช้ของบ้าน การที่เคทมีสภาพเหมือนคนไร้ตัวตนก็คล้ายกับตอนสาวในนิยายคนนี้โดนกลั่นแกล้งรังแก หรือกระทั่งการเปลี่ยนแปลงโฉมของเคทให้กลายเป็นสาวงามเพื่อคว้าหัวใจของจอห์นมาก็เหมือนช่วงขณะนางฟ้าลงมาเสกชุดไปงานเต้นรำให้ซินเดอเรล่านั่นแหละ

น่าสนใจเรื่องเปลี่ยนแปลงโฉมของเคท เปรียบได้กับการยำใหญ่นำบุคลิกของสาวของจอห์น ทักเกอร์ทั้งสามคนมาผสมปรุงแต่งให้หลอมรวมมาอยู่ในตัวเธอ นั่นหมายความว่า ถ้าเกิดเขาหลงรักผู้หญิงคนนี้ นั่นเท่ากับว่าเจ้าคาสโนว่าหนุ่มตกหลุมรักถ่านไฟเก่าทั้งสามในร่างของหญิงสาวที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้แค้นตัวของเขาเอง !?!?
ส่วนผสมของเคทจึงมีทั้งบุคลิกแบบปากกล้าอย่างเชียร์ลีดเดอร์ ผสมสาวหัวแข็ง นักอนุรักษ์นิยมและเก่งเรื่องการจัดการไปในตัว แต่อย่างไรก็ดีในหัวใจของเธอคงจะรู้ดีว่าคนที่เป็น “เปลือกนอก” ในตอนนี้มิใช่ตัวตนอันแท้จริง

ขณะที่ตัวตนที่แท้จริงของเคท เป็นบุคคลที่คิดว่าโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้ประกอบไปด้วย คนประเภทที่เห็นแก่ได้กับคนที่ยอมได้ทุกอย่าง ทว่าขณะเดียวเธอยังแอบหวังอยู่ในใจลึกๆว่า ถ้าหากชีวิตจริงของมนุษย์ มันน่าจะง่ายดายแบบในเพลงรักซึ่งหากคิดจะรักกันมันก็จบ ไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืด ซึ่งความคิดแบบนั้นอาจจะแทบไม่มีโอกาสเป็นจริงได้เลยก็ตามที

จะชี้ให้เห็นว่าคนแบบเคทไม่จำเป็น ต้องใส่บุคลิกมากมายลงไปในตัวเธอ เพราะในตัวตนที่แท้จริง ยังมีในสิ่งที่ผู้ชายทุกคนต้องการอยู่แล้วนั่นคือ “ความอบอุ่นและความอ่อนโยน” หาใช่ความหยาบกร้านและอารมณ์เสน่ห์หา” แบบเดียวกับผู้หญิงหลายๆคนยอมจัดแจงตัวเองเพื่อถวายใส่พาน รอประเคนให้ผู้ชาย
ดังคำกล่าวของน้องชายของจอห์น ทัคเกอร์มีใจความว่า ผู้หญิงทุกคนต่างก็รู้ถึงสันดานเลวของผู้ชายบางประเภทที่โกหกเพื่อให้ผู้หญิงหลงรัก หากแต่รักจริงหรือหวังแค่เพียงเซ็กส์อันร้อนแรง เมื่อทุกเสร็จสิ้นและจบลง ความสัมพันธ์เหล่านั้นก็หมดความหมาย กระนั้นแล้วหญิงสาว ก็ยังเต็มอกเต็มใจเข้าคิวให้คนแบบนั้นหลอก นั่นนะหรือคือสิ่งที่เรียกกันว่า “ความรัก”

จริงอยู่ที่ความพยามจะให้จอห์นมาตกหลุมรักเคท เป็นผลให้คนแบบเขาจำต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้คนอันเป็นที่รักให้หันมาสนใจ ในทางตรงกันข้าม ตัวของเคทเองต้องผสมผสานจริตแบบสาวร่านใจแตกลงไปในตัวตนของเธอ ทั้งที่จริงเธอเองคงจะขยาดอยู่ไม่น้อยกับสิ่งต้องทำเพราะว่า บรรดาสิ่งต่างเหล่านี้ก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่ไม่ไกลนั่นคือ แม่ของเธอเองนั่นแหละ

ทว่าในขณะที่ในหัวเคทคิดว่า แม่ของเธอไม่สามารถเป็น “แบบอย่าง” ให้กับชีวิตได้ กระนั้นความบกพร่องของแม่เธอยังนำมาซึ่งบทเรียนสำคัญ ด้วยการอาศัยประสบการณ์ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนและผู้ชายมากหน้าหลายตา จึงนำข้อคิดอย่างหนึ่งมาตักเตือนลูกสาวด้วยความหวังดีว่า ความรักมันมิใช่การ “แกล้ง” เพราะถ้าหากความรักที่แท้จริงมันมาถึงตัวแล้ว วันนั้นแหละคนที่”เจ็บ”จะเป็นตัวเราเอง เนื่องจากนั่นมันมิใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา

มันช่างเป็นข้อความน่าขบคิดสำหรับคนที่กำลังล้อเล่นกับคำซึ่งไม่อาจจะนิยามความหมายของมันได้นั่นคือ “รัก”

ขณะเรื่องราวต่างๆเริ่มผนวกเข้าที่เข้าทางและใกล้ถึงบทสรุป ในจิตใจของสาวทั้งสามรวมถึงเคทด้วยก็ตาม มันกลับมาอยู่ในสภาพเดียวกันตอนแรกอีกครั้ง นั่นคือตบตีกันเพื่อแย่งผู้ชายคนเดิมเนื่องจากสาเหตุเพียงของสำคัญแค่ชิ้นหนึ่งหนึ่ง เพราะไม่ว่าทั้งสามจะดำรงอยู่ในฐานะแฟนหรือเป็นคนที่พยามแก้แค้นก็ตาม สิ่งเหล่านี้มิได้ต่างไปจากการหมกมุ่นอยู่กับผู้ชายที่ชื่อ จอห์น ทักเกอร์อยู่ดีนั่นแหละ

ดังนั้นความตั้งใจของทั้งสี่สาวซึ่งเคยออกลั่นวาจาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ สุดท้ายพวกเธอก็ไม่สามารถก้าวไกลไปกว่าพวกผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหยื่อของผู้ชายจอมเจ้าชู้ ซ้ำร้ายการยืนหยัดเพื่อแสดงจุดยืนของเพศหญิงของทั้งสี่ยังเอยด้วยการ “สาด” ใส่จากเพศชายผู้คิดว่า ชายก็ตามสามารถ”ได้” ผู้หญิงนั่นแหละคือสุดยอดของชาติชาย สมควรได้รับการนับหน้าถือตา

น่าสงสารว่าบรรดาอุดมการณ์เหล่านั้นท้ายที่สุดก็กลายเป็นธาตุอากาศซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการสนับสนุน ทว่าบัดนี้สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นแค่เพียง”อดีต” ที่สร้างบทเรียนให้กับชีวิตของพวกเขาและเธอ ให้กลายเป็นบันทึกหน้าหนึ่งของช่วงชีวิต

แม้ว่าผลสุดท้ายบางคนได้กลายไปเป็นตำนาน บางคนได้รับบทเรียน เปลี่ยนแปลงทัศนคติ (ซึ่งไม่รู้ว่าดีขึ้นหรือเลวลง) อีกคนได้รับความสนใจอีกครั้ง และอีกหลายคนที่กลายมาเป็นมิตรภาพใหม่ นั่นยังแสดงให้เรารู้ว่าการเดินทางของชีวิตมนุษย์ทุกคนล้วนต้องผ่านร้อนและหนาว เกี่ยวเก็บประสบการณ์ที่อยู่ตามรายทางของชีวิต

เพราะว่าชีวิตของมนุษย์นั้นมันคือการเดินทางมิใช่เหรอ ?







วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ภาคต่อแบบนี้จะมีมาทำเพื่อ ? ตอนที่ 2




The Prince & Me 2: The Royal Wedding (รักนายเจ้าชายของฉัน 2 วิวาห์อลเวง)
กำกับโดย แคทเธอรีน ไซแรน แสดง ลุค เมลบลีย์ แคม เฮสกิ้น ไคลเมย์ซี่ มอร์ตัน ฮิลล์
ความเดิมตอนที่แล้ว
ใน The Prince & Me เพจ(จูเลีย สไตล์) นักเรียนไฮสคูลที่วันๆเอาแต่คร่ำเคร่งกับการเรียนด้วยความหวังอันแรงกล้าว่าสักวันเธอต้องเป็นหมอให้ได้ในขณะที่ เอ็ดเวิร์ด (ลุค เมลบลีย์)เจ้าชายแห่งเดนมาร์กตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพื่อค้นหาตัวเอง เขาจึงปลอมตัวเป็นนักเรียนที่มหาลัยเดียวกันกับเพจ แรกเริ่มทั้งสองพบหน้ากันโดยไม่ถูกชะตา แต่สุดท้ายเรื่องราวก็ดำเนินไปตามตำหรับเทพนิยายชวนฝัน


เรื่องย่อในภาค 2 เรื่องราวเริ่มในภาคสอง เล่าถึงการวางแผนแต่งงานระหว่างเพจและเอ็ดเวิร์ดกลับเต็มไปด้วยอุปสรรคเมื่อกฎของราชวงศ์บัญญัติว่าถ้าหากเจ้าชายแต่งงานกับหญิงสามัญชนจะต้องสละราชสมบัติทั้งหมด

สร้างมาทำเพื่อ เพื่อทำลายความเป็นเทพนิยายชวนฝัน ซึ่งหนังภาคแรกก็ไม่ใช่ว่าจะดิบดีขนาดจะต้องสร้างภาคต่อแต่เนื่องจากเสน่ห์อันเปี่ยมล้นของดารานำอย่างจูเลีย สไตล์จึงทำให้หนังภาคแรกกลายเป็นลูกอมรสหวานที่ไม่เลี่ยนแต่อย่างใด ทว่าเมื่อเปลี่ยนดารานำหญิงในภาคสองหนังจึงกลายรสไปเป็นขมซะอย่างนั้นเนื่องจากเธอเล่นภาพยนตร์ได้แข็งยิ่งกว่าอะไรดีและที่สำคัญขอถามทีมงานหน่อยเถอะไปหาโลเคชั่นแถวไหนฟะถึงถ่ายพระราชวังเดนมาร์กให้แลดูคล้ายกับห้องแถวขายของชำไปซะได้

สรุปว่า ถ้าหากคุณหลงใหลได้ปลื้มและบูชาหนังภาคแรกว่าสนุก น่ารัก อบอุ่น ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะหยิบภาค 2 มาดูต่อ แต่คุณควรเลือกภาคนี้มาดูในกรณีที่ละครน้ำเน่าหลังข่าวมันตบกันจนจบแล้วอยากเข้านอนแต่นอนไม่หลับนี้คือยาขนานเอกที่จะพาคุณสู่ห้วงนิทรา



Urban Legends: Bloody Mary (ปลุกตำนานโหด 3: แรงผีแค้น)
กำกับโดย แมร์รี่ แลมเบิร์ต นำแสดง เคธ มารี่, โรเบิร์ต วีโต้, ทีน่า ลิฟฟอร์ด
ความเดิมตอนที่แล้วใน
Urban Legends, Urban Legends Final-Cut ภาคแรกเรื่องสยองขวัญเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยอิงแลนด์ เล่าถึงตำนานเล่าขานโบราณกำลังกลายมาเป็นเรื่องจริงเมื่อนักศึกษาถูกฆ่าตายไปทีละคน เหล่านักศึกษาเหล่านั้นจึงเริ่มออกตามหาความจริงแต่เมื่อยิ่งเข้าใกล้มากเพียงใดอันตรายก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น ทางด้านภาคสองเล่าถึงเอมี่นักศึกษาสาขาภาพยนตร์ที่หยิบยกตำนานพื้นบ้านมาทำหนัง แต่ทว่าระหว่างถ่ายทำตำนานเหล่านั้นก็เริ่มฆ่าคนในกองถ่ายไปทีละคน

เรื่องย่อในภาค 3 ในปี 1969 แมรี่ แบนเนอร์โดนฆ่าตายอย่างสยดสยองจนเวลาล่วงเลยถึงปัจจุบันหญิงสาวกลุ่มหนึ่งพบว่ามีเหตุการณ์ฆาตกรรมแปลกประหลาดที่คล้ายคลึงกับในตำนาน พวกเขาจึงต้องร่วมมือกันค้นหาความจริงก่อนทุกอย่างจะสายเกินแก้

สร้างมาทำเพื่อ เพื่อรวมเป็นคอลเล็กชั่นหนังไตรภาค (ที่ไม่รู้ทำเพื่ออะไร) สืบเนื่องมาจากหนังภาคแรกเป็นหนังสยองขวัญไล่เชือดที่ดูสนุกและน่ากลัวก่อนจะโดนลดทอนความระทึกแต่ขายฉากชวนแหวะในภาคสองและกลายเป็น Scary Movie ไปในภาคสามเพราะเรื่องราวในภาคนี้นอกจากจะเละตุ้มเปะแล้วคนสร้างหนังเองก็คงสับสนว่าตัวเองกำลังทำหนังฆาตกรโรคจิตหรือหนังผีกันแน่เพราะหนังเล่นยำรวมมิตรกันไปหมดแถมอุตริสรรหาวิธีการเชือดตัวละครแบบประหลาดอาทิแมงมุมคลานเข้าไปในปากแล้วไชออกหู วิ่งชนกระจกตาย และอื่นๆที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมบรรดาตัวละครในหนังถึงโง่กันนักวะเนี่ย ที่สำคัญหนังยังได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลโกลเดน ทริลเลอร์อวอร์ดในสาขา “ขยะยอดเยี่ยม” อีกด้วย

สรุปว่า ถ้าดูแบบไม่คิดอะไรตาม ย้ำไม่ให้คิดอะไรทั้งนั้นหนังเรื่องนี้จะเป็นความบันเทิงระดับเดียวกันกับ Scary Movie เลยทีเดียวเพราะหนังมีฉากฮาๆน้ำหูน้ำตาเล็ดมากมายถ้าอยากรู้ว่าเป็นเช่นไรเราแนะนำให้คุณลองหาตัวอย่างมันมาดูกันก่อนอาทิลองค้นหาใน YouTube ดูแล้วคุณจะพบกับความสยองขวัญที่พลันเป็นคามฮาในบัลดล


The Butterfly Effect 2 (เปลี่ยนตายไม่ให้ตาย 2)
กำกับโดย จอห์น อาร์ ลีโอ เนติ แสดง อีริค ลีฟวี เอริกา ดูแรน ดัสติน มิลลิแกน
ความเดิมตอนที่แล้วใน
The Butterfly Effect ในวัยเด็กอีแวน (แอชชัน คุชเชอร์) ต้องคอยพบจิตแพทย์เป็นประจำเนื่องจากความทรงจำของเขาจะขาดหายไปเป็นช่วงๆและเกิดอาการวูบแบบประหลาด ขณะที่ช่วงวัยรุ่นเขาพบกับสมุดโน้ตที่ทำให้ย้อนเวลากลับไปในช่วงความทรงจำที่ขาดหาย แต่แล้วอีแวนได้เปลี่ยนเหตุการณ์บางอย่างในอดีตโดยหารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นทำให้เกิดหายนะตามมามากกว่าที่เขาคาดคิด

เรื่องย่อในภาค 2 นิค ลาร์สัน (เอริค ไลฟ์ลี่) กำลังไปได้ดีในเรื่องการงานและความรักทางด้านแฟนสาวจูลี่ (เอริก้า ดูแรน)ก็หวังไว้ว่าหลังจากแต่งงานแล้วเธอจะเปิดแกลลอรี่ส่วนตัว ทว่าทุกอย่างกลับพลิกพันเมื่อจูลี่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทำให้นิคอยู่ในความเศร้าจนเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปี เหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเมื่อเขามองรูปถ่ายเขาจะสามารถย้อนเวลากลับไปได้ แต่ทว่าทุกครั้งที่ย้อนเวลาไปก็เหมือนว่านิคจะยิ่งเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างให้แย่ลงเรื่อยๆ

สร้างมาทำเพื่อ ขายพล็อตเรื่องเก๋ๆกับการดัดแปลงเนื้อเรื่องให้ต่างจากเดิม แต่ที่น่าสนใจมากตรงที่ประเทศอเมริกาและโซนยุโรปหนังเรื่องนี้ถูกส่งตรงลงดีวีดี ทว่าประเทศไทยและโซนเอเชียกลับปูพรมแดงฉายจอภาพยนตร์เลยแต่นับว่ายังดีที่หนังในภาคนี้แม้ว่าจะเดินโครงเรื่องเดิมๆแต่ตัวหนังก็ยังมีลูกเล่นให้ผู้ชมแอบลุ้นได้ไปกับเรื่องราวชวนขบคิดและคาดเดาตอนจบไปต่างๆนาๆ

สรุปว่า หากคุณชอบความเก๋ในพล็อตเรื่องในภาคแรกแล้ว เรื่องในภาคสองก็ดูสนุกแม้ดีกรีดาราและความบันเทิงอาจจะเป็นรองภาคแรกอยู่ไม่น้อยทว่าหนังยังอุตสาห์ใส่ฉากประเภททำให้คนดูตาลุกวาวได้ไม่น้อยกว่า 2 ฉากจึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจว่าทำไมบางคนบอกว่าหนังภาคนี้ดูลุ้นกว่าภาคแรก (สงสัยด้วยเหตุผลนี้นี่เอง)


Species 3 (สายพันธุ์มฤตยู กำเนิดใหม่พันธุ์นรก)
กำกับโดย แบรด เทอร์เนอร์ แสดง นาตาชา เฮ็นสตริจ์ ซันนี่ แมบรี่ เอมิเลีย คุก
ความเดิมตอนที่แล้วใน
Species1-2 เมื่อนักวิทยาศาสตร์นำเชื้อของมนุษย์ผสมกับเอเลี่ยนกลายร่างเป็นอีฟ(นาตาชา เฮ็นสตริจ์) มนุษย์เอเลี่ยนสาว แต่การทดลองผิดพราดทำให้เธอหนีออกมาจากศูนย์วิจัยเพื่อแพร่พันธุ์มฤตยู ส่วนด้านภาคสองแพททริคนักบินอากาศที่ได้รับเชื้อมนุษย์ต่างดาว เมื่อกลับมายังโลกเขาออกผสมพันธุ์กับหญิงสาวเพื่อแพร่พันธุ์เอเลี่ยน ทางการจึงส่งอีฟพันธุ์ใหม่ที่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้นออกตามหาแพททริคโดยหารู้ไม่ว่าสันชาตญาณเพศแม่ทำให้อีฟผลักดันให้เธอหนีไปกับเพททริคเพื่อขยายพันธุ์เอเลี่ยนที่สมบูรณ์แบบ

เรื่องย่อในภาค 3 การต่อสู้ของมนุษย์กับมนุษย์ครึ่งเอเลี่ยนยังคงดำเนินต่อแต่ความอ่อนแอของฝ่ายหลังทำให้มนุษย์ชนะเรื่อยไปจนกระทั่ง ซาร่าลูกสาวของอีฟถือกำเนิดขึ้นเป็นสายพันธุ์ที่แกร่งยิ่งกว่าเก่า เธอออกตามล่าหาคู่เพื่อแพร่เผ่าพันธุ์นั่นเป็นเหตุผลให้บรรดากองทัพต่างเร่งตามหาเธอเป็นการด่วน

สร้างมาทำเพื่อ ขายเรือนร่างของสตรีโดยเฉพาะเพราะสองภาคแรกได้ปั้นให้นาตาชา เฮ็นสตริจ์ กลายเป็นเซ็กซี่สตาร์ได้ภายหลังที่หนังออกฉาย(แต่ปัจจุบันหายไปไหนแล้วไม่ทราบ) ซีรีย์ไซไฟชุดนี้จึงเปรียบเหมือนการเฟ้นหาหญิงสาวหุ่นดี หน้าตาพอไปวัดไปวาได้มารับบทเอเลี่ยนเพศแม่จึงเป็นอะไรที่ยากเสียเหลือเกิ้น (ประชดเพราะใครอยากจะเกิดเปลืองตัวหน่อยก็ดังได้แล้ว) แต่เหนืออื่นใดดาราสาวอย่างซันนี่ แมบรี่ปัจจุบันนี้ก็รับจ้างเล่นซีรีย์ทั่วไปและหนังอีกหลายเรื่องที่จะฉายตามโรงในปีหน้า จึงไม่น่าแปลกใจว่าเสื้อผ้ายิ่งน้อยชิ้นยิ่งปั้นให้คนดังได้ในชั่วข้ามคืน (แต่อาชีพการงานจะยั่งยืนนั้นเป็นอีกเรื่องดู “น้องแนต”เป็นตัวอย่าง)

สรุป หนังดูสนุกได้อรรถรสไม่น้อยแม้เรื่องราวจะซ้ำซากไปหน่อยแต่อย่างน้อยมันก็เข้าข่ายหนังเกรดบีที่ขายความบันเทิงแบบเต็มๆ (เรือนรางสตรี ฉากแอคชั่นเวอร์ๆไร้เหตุผลรองรับ และตอนจบทิ้งท้ายในการสร้างภาคต่อได้ข่าวว่าภาคที่ 4 นั้นจะออกแผ่นในเร็ววัน ซึ่งนางเอกหน้าใหม่ที่มารับบทนี้คือ เฮเลน่า เมทสัน หน้าตาน่ารักทีเดียวล่ะ


Wrong Turn 2: Dead End (หวีด เขมือบคน 2)
กำกับ โจว์ ลินช์ แสดง เอริก้า เรียเซ่น เฮนรี่ โรวลิน แท็กซัส แบทเบิล
ความเดิมตอนที่แล้วใน
Wrong Turn กลุ่มเพื่อน 6 คนขับรถเลี้ยวมาผิดทาง ไม่ทันไรยางก็แตกแบบไม่ทราบสาเหตุ เมื่อพวกเขาออกขอความช่วยเหลือ เพื่อนๆก็เริ่มหายตัวไปอย่างลึกลับทีละคนก่อนการปรากฏตัวของมนุษย์กินคนที่ออกล่าเนื้อมนุษย์

เรื่องย่อในภาค 2 เมื่อรายการเรียลลิตี้นำผู้แข่งขันมาทิ้งไว้ในป่าเพื่อให้เอาชีวิตรอด โดยหารู้ไม่ว่าป่านี้เป็นที่อยู่ของมนุษย์กินคนกระหายเลือด บรรดาผู้แข่งขันจึงต้องเอาชีวิตรอดให้ได้ก่อนจะกลายเป็นอาหาร

สร้างมาทำเพื่อ เทิดทูนบูชาภาคต่อที่อุดมไปด้วยฉากชวนแหวะอาทิเอาขวานจามหัว มีดเสียบทะลุคอหอย เอาลวดหนามครูดผิวหนังออก ตัวประหลาดมีเซ็กส์กัน อูยรวมบรรดาฉากอุจาดตา ทุเรศทุรังไว้เป็นพะเรอเกวียน แต่อย่างไรก็ดีหนังภาคนี้กลับดูสนุกกว่าภาคแรกอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าโปรดักชั่นจะดูราคาถูกไปหน่อยก็ตามทีแต่ปริมาณเลือดในหนังเรียกได้ว่าถ้าจะมาทำก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตกนี่ ท่าทางจะไว้ขายได้อีกสักปีสองปีเลย

สรุปว่า ถ้าคุณเป็นสาวกหนังไล่เชือด เลือดสาดเรื่องนี้ไม่ควรพลาด (ปล.คุณภาพอาจะใกล้เคียงกับ The Hill Have Eyes 2 ถ้าคุณไม่ชอบเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ควรจะหยิบมาชม)


The Net 2.0 (เดอะเน็ท อินเตอร์เนทนรก 2)
กำกับ ชาร์ลส์ วิงค์เลอร์ แสดง นิคกี้ เดอโลช เดเม็ท แอ็คแบ็ก
ความเดิมตอนที่แล้วใน
The Net (ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับภาคนี้) แองเจล่า (แซนดร้า บูลล็อก) นักโปรแกรมเมอร์ขี้เหงาวันๆเอาแต่ทำงาน เธอจะพักผ่อนแค่เพียงไปออกเยี่ยมแม่และพูดคุยกับคนในอินเตอร์เน็ต จนกระทั่งวันหนึ่งเธอพบว่าข้อมูลทางตำรวจ, ประวัติและบัญชีต่างๆล้วนหายไปโดยไร้สาเหตุทำให้แองเจล่ากำลังตกอยู่ในอันตรายครั้งใหญ่หลวง

เรื่องย่อในภาค 2.0 โปรแกรมเมอร์สาวต้องพบกับอันตรายโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อเดินทางถึงอิสตันบูลเพื่อเริ่มงานใหม่เธอกลับพบว่าหลักฐานต่างๆที่บ่งชี้ความมีตัวตนของเธอกำลังถูกใครบางคนขโมยไป

สร้างมาทำเพื่อ ก็อปปี้เนื้อเรื่องทั้งหมดจากภาคแรกมาใส่ใหม่ในภาคสองเนื่องจากทั้งหมดทั้งมวลไร้ซึ่งความแปลกใหม่ ไร้ฉากระทึกไม่ติดเก้าอี้และที่สำคัญมันไม่ต่างอะไรจากภาคแรกเลยสักนิด

สรุป แล้วแต่วิจารณญาณ ถ้าหากยังไม่เคยชมภาคแรกคุณอาจจะบอกว่าหนังเรื่องนี้สนุกเป็นได้


ภาคต่อแบบนี้จะมีมาทำเพื่อ ? ตอนที่ 1

คุณเคยรู้สึกแปลกใจบ้างหรือไม่ที่หลังจากชมภาพยนตร์แล้วกลับรู้สึกว่ามันถึงสร้างขึ้นมาทำไม ?
คุณเคยรู้สึกหรือไม่ว่าทำไมหนังเรื่องนั้นๆถึงต้องสร้างภาคต่อขึ้นมาอีกในเมื่อภาพยนตร์เหล่านั้นจบลงอย่างบริบูรณ์ในตัวมันเองไปแล้ว
คุณเคยแปลกใจไหมว่าทำไมตัวเองเคยรู้จักภาพยนตร์เหล่านี้เป็นอย่างดี แต่เมื่อมันมีภาคต่อมาอีกทีกลับถูกลืมไปเสียดื้อๆ
แต่คุณจะแปลกใจหนักเข้าไปอีกเมื่อพบว่าหนังเหล่านี้มันมีภาคต่อด้วยเหรอ ?




เพราะว่าหลายครั้งที่คุณชมภาพยนตร์ทางจอหนัง คุณอาจจะรู้สึกว่าพล็อตเรื่อง นักแสดง หรือ เทคนิคพิเศษดูเฉียบ เก่ง เท่ มี สไตล์จนจดจำความ “โดดเด่น” เหล่านั้นสู่ห้วงคำนึงนึกคิด จนกระทั่งวันหนึ่ง สิ่งนั้นก็กลับมาอีกครั้งในรูปแบบที่ต่างออกไปนั่นคือแทนที่จะถูกฉายบนจอเงินกลับถูกลดสถานะมาอยู่แค่เพียงจอแก้วเท่านั้น เนื่องจากว่าหนังเหล่านั้นกลับมาในรูปโฉมใหม่คือในรูปแบบของแผ่นดีวีดี ที่เขียนปะหน้าปกว่ามันเป็นภาคต่อของหนัง”ยอดฮิต” เมื่อหลายปีก่อน



ทว่ามันจะมาอีท่าไหนต้องไปดูกัน................................................ ทั้งนี้เราจะประจานรายชื่อผู้มีส่วนร่วมในหนังเรื่องนั้นๆอีกด้วย แต่ทว่าคุณผู้อ่านรู้จักพวกเขากันรึเปล่า ?



House Of The Dead 2: Dead Aim (แพร่พันธุ์กองทัพผีนรก)
กำกับ มาร์ค เอ. อัลท์แมน แสดง เอ็นมานูเอล วอเกียร์, เอ็ด ควินน์
ความเดิมตอนที่แล้ว
(ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับภาคสอง)ใน House of the Dead (ศพสู้คน) กลุ่มเพื่อนนักศึกษารวมตัวเดินทางไปยังปาร์ตี้บนเกาะร้างแห่งหนึ่ง ทว่าสถานที่นี้ไม่ได้เพียงร้างผู้คนอย่างเดียว มันกลับไปด้วยฝูงผีดิบกระหายเลือดพร้อมออกไล่เชือดเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย


เรื่องย่อภาคนี้ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไกลชุมชน เชื้อซอมบี้กำลังระบาดไปทั่วจนเกินควบคุม รัฐบาลจึงส่งเจ้าหน้าที่มาเพื่อออกตามหา “คนไข้หมายเลขหนึ่ง” ต้นตอของไวรัสนรกที่ต้องการตัวมาสกัดยายั้บยั้งการขยายพันธุ์ อเล็กซ์และเอลลิส (ไม่เกี่ยวอะไรกับเอลวิส) ยังพบอีกว่าคนในกลุ่มของพวกเขามีแผนจะนำดีเอ็นเอของซอมบี้เหล่านี้ไปใช้ในทางชั่วร้ายอีกด้วย


สร้างมาทำเพื่อ เพื่อตอกย้ำว่าถ้าหากภาคแรกเป็นหนังที่ห่วยแล้ว แต่ภาคที่สองจะเป็นอะไรน่าตกใจมากเพราะว่ามันดูสนุกกว่าภาคแรกโขเพราะงานเมคอัพดูมีราศีขึ้นแยะ แถมฉากลุ้นระทึกก็พอลื่นไหลขึ้นแม้จะไม่ถึงขั้นสะดุ้งก็ตาม เพราะว่าภาคแรกถูกการันตีความย่ำแย่ด้วยการโดนตีตราว่ามันเป็นหนังห่วย แถมได้รางวัลอีกบนเวที Chainsaw ฐานะหนังเชือดยอดแย่อีกแหนะทำให้การขยับคุณภาพของหนังเรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจ (ที่น่าแปลกคือ สร้างมาทำไมเมื่อหนังภาคแรกมันโดนนักวิจารณ์ถล่มซะนรกแตกซะขนาดนั้น) ซึ่งผู้กำกับไม่ใช่ใครที่ไหนเขาคือ อูโว่ โบลล์ ผู้ที่กำลังจะโดนขนานนามว่า เอ็ด วูด สองในเร็ววัน


สรุปว่า สร้างมาเพื่อเป็นบรรทัดฐานว่าหนังห่วยสามารถพัฒนาคุณภาพได้ดีขึ้นได้(เล็กน้อย) ถ้าหากผู้กำกับไม่ใช่คุณพี่ อูโว่ โบลล์



I’ll Always Know What You Did Last Summer (ซัมเมอร์สยองต้องหวีด 3)
กำกับ ซิลเวน ไวท์ แสดง บรู๊ก เนวิน, เดวิด เพทคู, เบ็น อีสเตอร์, ดอน แชงค์
ความเดิมสองตอนที่แล้ว
(ซึ่งคล้ายๆกันกับภาคสาม) ใน I Know What You Did Last Summer และ I Still Know What You Did Last Summer กลุ่มเพื่อนรักสี่คนมีส่วนร่วมในการขับรถชนคนตายโดยไม่ได้เจตนา พวกเขาให้สัญญาว่าจะปกปิดความลับนี้กันไปจนวันตาย เวลาผ่านไปหนึ่งปีมีข้อความส่งถึงเพื่อนทุกคนในกลุ่มพร้อมกับการปรากฏตัวของชายมือตะขอ และอีกหนึ่งปีให้หลังจูลี่(เจนิเฟอร์ เลิฟ ฮิววิท)และเรย์(เฟรดดี้ ปรินท์ จูเนียร์) ผู้รอดชีวิตจากภาคแรกได้รับตั๋วท่องเที่ยวฟรีในรีสอร์ทกลางทะเลแต่แล้วพวกเขาก็ต้องพบว่ามันเป็นฝันร้ายเมื่อชายมือตะขอปรากฏตัวขึ้นเพื่อล้างแค้นอีกครั้ง



เรื่องย่อในภาคนี้ ความคะนองเริ่มต้นขึ้นเพื่อนห้าคนเลียนแบบเหตุการณ์สยองในวันชาติ 4 กรกฎาคมที่ทำให้เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มต้องตาย พวกเขาสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับและไม่มีวันบอกใครจนกระทั่งหนึ่งปีผ่านไป เมื่อพวกเขาต่างก็ได้รับคำขู่จากใครคนหนึ่งที่แสดงตัวว่า”เกิดอะไรขึ้นเมื่อซัมเมอร์ก่อน” พวกเขาจะทำอย่างไร มิตรภาพระหว่างเพื่อนกำลังโดนทดสอบ


สร้างมาทำเพื่อ เพื่อสานต่อตำนานแห่งฆาตกรมือตะขอ จะว่าไปสองภาคแรกนั้นถูกสร้างขึ้นตามความฮิตของหนังไล่เชือดเรื่องก่อนหน้าอย่าง SCREAM ซึ่งภาคแรกโกยเงินได้เป็นกอบเป็นกำ เสียงวิจารณ์ออกไปทางบวก กลับกันกับภาคสองทำรายได้ประมาณ 24 ล้านเหรียญแถมคำวิจารณ์ก็เรียกได้ว่าย่ำแย่ แต่ก็คงไม่แย่ไปกว่าหนังในภาคที่สามเพราะนอกจากจะเดินเนื้อเรื่องไม่ต่างอะไรจากเดิมนัก แถมบทสนทนาในเรื่องก็เข้าขั้นยัดบทใส่ปากซะดื้อๆ ทว่าทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่เลวร้ายเท่าตอนจบเมื่อหนังเฉลยความจริงว่าตำนานชายมือตะขอนั้นแท้ที่จริงแล้วมัน..............


สรุปว่า ถ้าหากคุณถูกใจกับหนังสองภาคแรกแบบเดนตายแล้ว เราไม่แนะนำให้ชมภาคนี้เพราะดีกรีความลุ้นละทึกจะถูกลดลงประมาณครึ่งหนึ่งแต่ถ้าหากไม่เคยชมสองภาคแรกมาก่อน เราขอแนะนำให้หยิบภาคนี้เปิดก่อนเลยเพราะอะไรต้องหาคำตอบเอาเองแต่เตือนไว้ก่อนว่าความจริงเฉลยออกมาแล้วอย่ามาโทษกันนะว่า................โห ทำกันไปได้



Wild Things 2 (เกมซ่อนกล 2) แพ็คคู่มากับ Wild Things: Diamonds In The Rough (เกมส์ซ่อนกล 3)
ภาค 2 กำกับโดย แจ็ค เปเรซ แสดง ซูซาน วาร์ด, ไอเซย์ วอชิงตัน
ภาค 3 กำกับโดย เจย์ โลวิ แสดง ดีน่า เมเยอร์, แบรด จอห์นสัน, ซาร่า เลน
ความเดิมตอนที่แล้ว
(ซึ่งโดนเลียนแบบในสองภาคหลัง) ใน Wild Things เมื่ออาจารย์ชายในโรงเรียนไฮสคูลถูกกล่าวหาว่าข่มขืนนักเรียนสาว (เดนิส ริชาร์ด) และเพื่อนร่วมชั้น (เนฟท์ แคมเบลล์) จนนายตำรวจหนุ่ม (เควิน เบคอน) ต้องเข้ามาสืบสวน เมื่อยิ่งเข้าใกล้ความจริงก็ยิ่งพบว่าในคดีนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังจนน่าตื่นตระหนก ยิ่งไปกว่านั้นตัวของเขาเองก็ถูกดึงเข้าไปร่วมในวังวนแห่งอาชญากรรมเหนือคาดเดาครั้งนี้ด้วย


เรื่องย่อในภาคสอง บริทนีย์เด็กสาววัย 17 ปีที่คาดหวังมรดกจากพ่อบุญธรรมของเธอ แต่แล้วเรื่องไม่ธรรมดาก็เกิดขึ้นเมื่อตัวเธอไปมีสัมพันธ์รักไม่ธรรมดากับเพื่อนสาวร่วมห้อง ซึ่งในเบื้องลึกของจิตใจ เธอกลับเกลียดเพื่อนคนนี้อยู่ลึกๆ เมื่อเธอพบว่าแท้ที่จริงแล้วเพื่อนของเธอพยามอ้างสิทธิ์ในมรดกของพ่อบุญธรรม


เรื่องย่อในภาคสาม มารีสาวสวยวัย 17 (ทำไมต้องอายุเดิมตลอดฟะ) ได้พบกับเอลิน่า นักเรียนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ เธอคือสาวเจ้าปัญหาที่กล่าวว่า เจย์ พ่อบุญธรรมของมารี ข่มขืนเธอ อีเลน่าเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนมหาศาล แต่ทว่าเบื้องลึกเบื้องหลังเหตุการณ์นี้จะมีใครอีกไหมที่มีส่วนร่วมอาชญากรรมครั้งนี้


สร้างมาทำเพื่อ เพื่อตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของเพศชาย (เฮ้ย ขนาดนั้น) เนื่องจากว่าเอกลักษณ์อันโดดเด่นของหนังชุดนี้มีด้วยกันสองประการ หนึ่งคือพล็อตเรื่องที่ยามหักมุมกันตลอดเวลาประมาณว่า ยัยหนูนั่นมาปล้ำกับคนนี้ ปล้ำเสร็จอีหนูแกก็ไปเล่นฉิ่งฉับกับอีกคน เสร็จแล้วอีหนูอีกคนก็ไปเล่นสวาทกับเฮียคนนั้นอีก อุรุงตุงนังสาละวันกันไปหมด หักมุมกันไปหักมุมกันมาจนจะหักขาตัวเองกันอยู่รอมร่อ ส่วนประการที่สองคือฉากมหัศจรรย์เหล่านั้นนั่นแหละจุดขายสำคัญเพราะหนังจะเน้นสัดส่วนของบรรดาสตรีเป็นพิเศษโดยเฉพาะในภาคแรกกับฉาก”เล่นหมู่”ของเดนิส ริชาร์ดกับเนฟฟ์ แคมเบลล์ ที่คุณผู้ชายทั้งหลายดูแล้วต้องครางกันเป็นทิวแถว ส่วนในภาคอื่นๆแม่ว่าดีกรีความร้อนแรงจะไม่เทียบเท่าแต่ก็ดูสนุกพอทำเนา


สรุปว่า ซีรีย์ชุดนี้จะดูภาคไหนก่อนก็ได้เพราะเนื้อเรื่องคล้ายกันซะจนแทบจะแยกไม่ออก แต่ถ้านับความสนุกที่สุดต้องภาคแรกเพราะได้ดาราชั้นฝีมือหลายคนมาประชันกันจน แถมล่อกันมันส์(เอ่อ ล่อกระสุนปืนนะท่าน อย่าคิดลึกเชียว) ซะทั้งเรื่อง



Bring it on 2 :Again (สาวเชียร์เท้าไฟหัวใจวี๊ดบึ้ม 2) แพ็คคู่มากับ Bring it on 3: All or Nothing (ลุ้นรักเชียร์ลีดเดอร์)
ภาค Again กำกับโดย เดม่อน ซานโตสทีฟาโน แสดง แอนน์ จัดสัน-เยเกอร์, บรี เทอร์นเนอร์
ภาค All or Nothing กำกับโดย สตีฟ แรชท์ แสดง เฮย์เดน เพเนทเทอร์รี่, เมอร์ซีย์ เรแลนด์
ความเดิมตอนที่แล้ว
ใน Bring It On ทอเรนท์ ชิพแมนคือหัวหน้าทีมเชียร์ลีดเดอร์ที่จงรักภักดีกับทีมของเธอเยี่ยงชีพ จนกระทั่งเธอพบว่ากัปตันคนเก่าของทีมดันไปลอกท่าของทีมโคลเวอร์ของคนผิวสีมา เธอแทบลมจับแต่ถึงอย่างไรก็ตามด้วยสปิริตอันแรงกล้า ทอเรนท์จึงต้องทำทุกวิถีทางที่จะพาทีมไปสู่ชัยชนะในการประกวดเชียร์ลีดเดอร์ระดับประเทศให้ได้


เรื่องย่อในภาค Again วิทเทอร์ เป็นนักเรียนใหม่ที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาในโรงเรียนไฮสคูลได้ไม่นานเธอพยามจะเข้าร่วมกลุ่มทีมเชียร์ลีดเดอร์ให้ได้แต่ กัปตันทีมจอมเผด็จการกลับกีดกันเธออย่างไม่ใยดี เธอเลยไปหาพรรคพวกรวมกลุ่มตั้งทีมเชียร์ขึ้นมาใหม่ซะเองเลย แล้วไปวัดกันว่าทีมไหนจะ
เจ๋งกว่ากัน


เรื่องย่อในภาค All or Nothing บริทนีย์เป็นกัปตันทีมเชียร์แห่ง แปซิฟิก วิสตาร์ ไฮสคูลแต่แล้วฟันของเธอที่ต้องพาทีมเข้าแข่งขันการประกวดเชียร์ลีดเดอร์ประกอบมิวสิควิดีโอของนักร้องสาวริฮาน่าต้องพังทลายเมื่อพ่อแม่ของเธอย้ายบ้านไปแถวลอสแองเจอลิส เธอต้องย้ายโรงเรียนไปยัง
แครนชอวส์ไฮสคูลซึ่งเต็มไปด้วยคนผิวสี ด้วยสัตย์ปฏิญาณว่าจะไม่ร่วมทีมเชียร์อีก ทำให้บริทนีย์ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างคำสัญญาหรือว่าทำในสิ่งที่เธอรัก


สร้างมาทำเพื่อ เพื่อยกระดับว่าหนังในภาคแรกนั้นถึงแม้จะไม่ใช่หนังที่ดีแต่เป็นหนังที่ดูสนุกเอามากๆเลยทีเดียว ซึ่งแม้ว่าพล็อตเรื่องจะออกไก่กาอาราเล่ไปหน่อยก็ตามที่ว่าด้วยการชิงดีชิงเด่นระหว่างหญิงสาวสองกลุ่ม แต่นัยยะลึกของทุกภาคสะท้อนให้เห็นถึงความสามัคคีในหมู่คณะพร้อมยังจรรโลงสังคมด้วยการบอกผ่านการรวมแรงร่วมใจเป็นอันเดียว แต่อีกประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือเรื่องความไม่เท่าเทียมกันของคนในสังคมซึ่งภาคแรกแสดงถึงความแตกต่างระหว่างผิวสี ภาคที่สองคือการให้ความสำคัญกับค่านิยมที่ผิด ส่วนภาคที่สามคือการกระชับมิตรระหว่างคนทุกผิวสี ทุกระดับให้เป็นหนึ่งเดียว
สิ่งที่ไม่จางหายไปจากหนังทั้งสามภาคคือ เพลงสนุกๆ ท่าเต้นสะเด็ดสะเด่าของสาวในเรื่องที่ทั้งส่าย สะโพกโยกย้ายจน มองแล้วตาลายไปหมด


สรุปว่า หนังเชียร์ลีดเดอร์ชุดนี้มองก็ได้ชมก็ดีเพราะแต่ละภาคต่างสนุกไปคนละแบบ ซึ่งเรียงลำดับได้ดังนี้คือภาคแรกนั้นดูสนุกที่สุด (โปรดักชั่นอลังการ ท่าเต้นสวย ฮา ดาราน่ารัก) ตามมาด้วยภาคที่สาม (ฮาทุกมุข แม้ตัวละครจะไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ เพลงเร้าใจและที่สำคัญนักร้องสาวริฮานา มาร่วมแจมกับบทเล็กๆในหนังด้วย) ส่วนด้อยสุดคงเป็นภาคสองที่ได้แต่นำฉากเด่นในภาคแรกมาปรับเปลี่ยนใหม่แต่มุขต่างๆก็เลยดูเดิมๆไม่ค่อยขบขันเท่าที่ควร



Cube 2: Hypercube (ไฮเปอร์คิวบ์ มิติซ่อนนรก) แพ็คคู่ Cube Zero (กำเนิดลูกบาศก์มรณะ)
ภาค 2 กำกับโดย แอนเดรีซ เซกูล่า นำแสดง คาร์รีย์ แมนเชท, เกอร์เรียน วินท์ เดวิด
ภาค zero กำกับโดย เออร์นีย์ บาร์บาเรท นำแสดง แซคคารี่ แบนเนท, เดวิท ฮับแบน
ความเดิมตอนที่แล้วใน
Cube (สี่ซ้อน สี่หนี กับมรณะ) คนกลุ่มหนึ่งตื่นขึ้นมาท่ามกลางห้องสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ แต่ละห้องเชื่อมต่อกันเสมือนเขาวงกตที่ไร้ทางออก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยกับดักสุดอันตราย เพราะถ้าพวกเขาพลาดเมื่อใดนั่นหมายถึงชีวิตของพวกเขาต้องจบลงเช่นกัน


เรื่องย่อในภาค 2 คนแปลกหน้า 8 คนตื่นขึ้นมาท่ามกลางสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ที่มีความแปลกประหลาดนั่นคือพวกเขารู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างทุกห้องสี่เหลี่ยมรายล้อมไปด้วยกับดักนานาชนิดและยิ่งพวกเขาพยามจะแก้ไขปริศนานี่มาขึ้นเพียง พวกเขายิ่งกลับพบว่าสถานที่แห่งนี้ใช้ทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ใดๆมาอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้เลย


เรื่องย่อในภาค Zero ย้อนกลับไปถึงต้นกำเนิดลูกบาศก์มรณะ เรสน์ตื่นขึ้นท่ามกลางเขาวงกตสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ก่อนจะพบกับนักโทษคนอื่นๆ ซึ่งพวกเขาต้องคอยหลบเลี่ยงกับดักรอบๆตัวพวกเขา ขณะเดียวกันผู้ดูเหตุการณ์อย่างวินน์ กลับแอบหลงรักเรสน์จนพยามช่วยเหลือเธอทุกวิถีทาง จนสุดท้ายตัวเขาเองกับลอบเข้าไปในเดอะคิวป์ด้วย ทว่าการลงไปช่วยเธอในครั้งนี้เท่ากับว่าเขาจะติดอยู่ข้างในและอาจไม่มีวันได้ออกมาอีกต่อไป


สร้างมาทำเพื่อ ทั้งภาคสองและศูนย์พยามสร้างขึ้นเพื่อพยามอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในภาคแรกโดยไม่สามารถเหตุผลมารองรับได้ ซึ่งปมประเด็นในภาคแรกอาจจะได้รับการอธิบายไม่กระจ่างชัดแต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยความกดดันประสาทผู้ชมชนิดอึดอัดสุดฤทธิ์ ในขณะที่ภาคสองเป็นเรื่องราวที่แตกประเด็นมามากกว่าจะนั่งอธิบายเหตุการณ์บางอย่างซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ได้ชมต่างบอกว่า “ยิ่งดูภาคนี้ ยิ่งงงหนักกว่าเดิม” ซะงั้นไป แต่ขณะเดียวกันภาคศูนย์กลับสามารถเล่าถึงที่มาที่ไปของเดอะ คิวป์ได้แบบคลุมเครือให้ตีความกันต่อเอาเอง


สรุปว่า แฟนหนังไซ-ไฟไม่ว่าขาจรหรือเดนตายก็ตามควรหาชมหนังเรื่องนี้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะภาคแรกที่กำกับโดยแวนโช่ นาตาลี ซึ่งสามารถสร้างสถานการณ์ปิดล้อมให้กับตัวละครที่อับจนหนทางได้เป็นอย่างดี ช่วยกระตุ้นต่อมอะดีนารีนชนิดฉีดพล่าน ส่วนภาคสองและสามก็ควรหามาดูอีกเช่นกันเพื่อลับสมองกันอีกต่อหนึ่งและถึงแม้ว่าจะสู้ภาคแรกไม่ได้เท่าใดก็ตาม


(โปรดติดตามตอนที่ 2)