วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2550

John Tucker Must Die


John Tucker Must Die บทบันทึกหน้าหนึ่งของช่วงชีวิต




น่าขันอยู่เหมือนกันเนอะ ที่มนุษย์ปุถุชนอย่างเรา เกิดมาล้วนแล้วแต่มีหน้าตาแตกต่างกันไป บางครั้งรูปโฉมออกมาคล้ายพ่อแม่ บางทีละม้ายคนในวงศาคณาญาติ ถึงอย่างนั้นก็ตามที คงจะเป็นบุญตาวาสนาส่งอยู่ไม่น้อย ถ้าหากเกิดมาแล้วรูปมีรูปโฉมหล่อเหลา หรือสวยใสราวกับนางฟ้าลงมาจำแลง หาใช่เกิดมามีใบหน้าเป็นอาวุธ!!!!!!!!

อย่างไรก็ดีที่สวรรค์ยังคงมีตา กระทั่งฟ้าก็ยังมีใจ สร้างสมดุลให้แก่ชีวิตของมนุษย์ด้วยการสร้างความแตกต่างรวมถึงการใส่ข้อบกพร่องไว้ในตัวตนของคนธรรมดาเดินอย่างเราๆด้วย
ดังนั้นแล้วอย่างที่กล่าวมาในข้างต้นว่ามนุษย์ทุกๆคนต่างก็ล้วนมี ”จุดเด่น”หรือ”จุดด้อย” ซึ่งแตกต่างกันออกไป นั่นก็เพราะว่าถ้าหากมนุษย์ทุกคนเกิดมาเหมือนกันหมดแล้ว ใครมันจะไปจดจำได้ว่ามันผู้นั้นเป็นใครกัน

ด้วยเหตุนี้เองความโดดเด่นในรูปร่างหน้าตามันจึงส่งผลให้ วิถีชีวิตมนุษย์ดำเนินเดินทางต่อไปอย่างเปี่ยมสีสัน เต็มไปด้วยทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นหาคู่ครอง การเข้าสังคม ประเมินเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ก็สุดจะแล้วแต่จัดจำแนกกันออกไป

ไม่เพียงเท่านั้นวิถีชีวิตของมนุษย์คงมิได้เดินทางเป็นกราฟเส้นตรง หากแต่ขีดเขียนเป็นเส้นหยักที่ขึ้นลง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หาหลักหรือความมั่นคงได้แสนยากลำบาก เนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถจะกำหนดโชคชะตาของตัวเองได้

เช่นเดียวกันกับ เคท (บริททานีย์ สโนว์) ในเรื่อง John Tucker Must Die ที่รู้สึกว่าตัวเธอไม่ต่างอะไรไปจาก “มนุษย์ล่องหน” ตกอับเรื่องความรัก แถมยังโดนตีตราว่าเป็นพวกขี้แพ้อีกด้วย ถึงอย่างไรก็ดีมันคงไม่เลวร้ายไปกว่า แม่ของเธอซึ่งรูปร่างเซ็กซี่ เร้าฮอร์โมนชายหนุ่มตั้งแต่แรกพบโดยสิ่งที่กล่าว มันช่างตรงข้ามกับบุคลิกของลูกสาวอย่างสิ้นเชิง ทว่าหลังจากคบหาแม่ของเธอได้ไม่นานนักผู้ชายทุกคนก็จะชิ่งหนีหมด ลูกสาวเลยตั้งชื่อผู้ชายเหล่านั้นว่า สกิป (น่าจะมาจากคำว่า Skip แปลว่า ผ่านไป)

ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้เคทจำต้องย้ายบ้านนี้อยู่บ่อยๆ (พล็อตเดียวกันกับคุณแม่ของยัยฮิลลารี่ ดัฟฟ์ในหนังห่วยๆเรื่อง The Perfect Man นั่นแหละ) จนกระทั่งได้มาตั้งหลักปักฐานอยู่ในเมืองบ้านนอกได้ระยะหนึ่ง จนกระทั่งผู้ชายชื่อ จอห์น ทักเกอร์ (เจสซี่ แมคคาร์ฟนีย์) เดินผ่านเข้ามาในชีวิต

จอห์น ทัคเกอร์ หนุ่มรูปหล่อเสมือนนายแบบโดมอนแมนผนวกกับเทพเจ้ากรีก เป็นหัวหน้าทีมบาสเกตบอล บ้านรวย เขาคั่วสาวพร้อมกันทีถึงสามนางซึ่งประกอบไปด้วย แครี่ เชเฟอร์ (อาเรย์รีย์ แคปเบลล์) นักเรียนหัวกะทิมากความสามารถ สาวคนต่อมาคือ เฮ็ธเธอร์ (อาชันติ) หัวหน้าทีมเชียร์ลีดเดอร์ ผิวสีแทน และคนสุดท้าย เบธ (โซเฟีย บุชช์) สาวหัวอนุรักษ์นิยมกินมังสวิรัติ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือว่า จอห์นยังเป็นหนุ่มที่”สับราง”ไม่ให้รถไฟชนกันเก่งเป็นบ้า

จนกระทั่งสาวทั้งสามนางมาพบกันในคลาสวอลเลย์บอล ซึ่งแปนสภาพกลายเป็นศึกชิง “นาย” ขนาดย่อมไปซะได้ เป็นผลให้เคทจำต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ และนี่เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมหัวล้างแค้น เพื่อแสดงพลังของเพศหญิง (อีกแล้วครับท่าน) โดยยืนยันเสียงแข็งว่า “พวกเราจะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของผู้ชายเจ้าชู้อีกแล้วโว้ย”

มองลงไปในตัวของ จอห์น ทัคเกอร์ จะพบว่า เขาช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ คาสโนวา อย่างไม่มีผิดเพี้ยนเพราะนอกจากจะหล่อเหลา มีเสน่ห์ คารมมัดใจสาวรอบข้าง และที่สำคัญเขาสามารถคบหากับผู้หญิงได้ถึงสามคนในเวลาเดียวกัน แถมยังสร้างข้อผูกมัดด้วยสายสัมพันธ์อันเปราะบางระหว่างนารีทั้งสามอีกด้วย
สายสัมพันธ์ที่กล่าวถึงปรากฏขึ้นเมื่อหนังพยามบอกแก่เราว่า จอหน ทัคเกอร์ อาศัยเทคนิคการพูดซึ่งมีเสน่ห์ราวกับสาลิกาลิ้นทอง โน้มน้าวให้ฝ่ายหญิงพยามหาหนทางให้ตนเองกลายเป็นฝ่ายจนแต้ม รวมไปถึงทำให้รู้สึกผิดกับคำพูดของพวกเธอเอง หลีกเลี่ยงการจดจำชื่อสาวๆ แล้วแทนที่ด้วยการเรียกพวกหล่อนว่า “ที่รัก” เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องจำสับสนกัน

การจัดระเบียบในชีวิตของจอห์นจึงน่าสนใจอยู่ไม่น้อยและควรจะหยิบยกมาเป็นตัวอย่าง เอ้ย!!!! มาพิจารณาต่างหาก ซึ่งเทคนิคแพรวพราวเช่นนี้ คงทำให้ชีวิตของเขาล้วนแล้วต้องขึ้นอยู่กับการคิด คำนวณและคาดการณ์ตลอดเวลานั่นเอง

อย่างไรก็ดี อันนารีทั้งสามนางต่างก็ล้วนแต่โกรธแค้นเจ้าผู้ชายมากตัณหา จนพยามรวมตัวกันเพื่อสร้างอุดมการณ์ขึ้นมาว่า “พวกกรู...จะ...ฆ่า...ไอ้...จอห์น...ทัคเกอร์... ให้ตายกันไปข้างนึง” ด้วยการทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเดียวกับคนประเภทที่ไม่น่าคบหาสมาคมด้วย พวกเธอจึงเริ่มเปิดศึกด้วยการสร้างภาพให้เขาเป็นหนุ่มน่ารังเกียจเป็นโรคติดต่อทางเพศจวบจนถึงขึ้นลงมือวางยากันเลยทีเดียว

ถึงอย่างนั้น คนที่มีลูกล่อ ลูกชนแบบจอห์น ทัคเกอร์ ก็มีกึ๋นมากเพียงพอที่จะเปลี่ยนบรรดา “วิกฤต” เหล่านั้นให้กลายมาเป็น”โอกาส”ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับสาวแสนร้ายกาจคนหนึ่งอย่างเรจิน่า จอร์จในเรื่อง Mean Girls ผู้เป็นหน้าเป็นตาของไฮสคูลและเธอนี่แหละคือผู้นำแฟชั่น วิถีชีวิตและทัศนคติของคนในโรงเรียนทั้งหมด

แต่ใช่ว่าเขาจะปราศจากจุดอ่อนเลยซะทีเดียว หากลองวิเคราะห์ดูดีๆจะพบว่า จอห์นยังรับฟัง ผู้หญิงรอบข้างตัวเขาทุกคนไม่ว่าจะเป็นการที่ฝ่ายหญิงเอ่ยปากเตือนว่า “เธอกล้ามเล็กไปนะ” มันส่งผลให้เขา รีบร้อนขวนขวายเฟิร์มหุ่นอย่างหนัก อาจจะสืบเนื่องมาจากเหตุผลที่ว่า คนแบบนายจอห์นเป็นคนซึ่งทุกคนให้ความสนใจ จึงต้องพยามทำให้ตนเองดูดีตลอดเวลาก็เป็นไปได้

ลืมบอกไปว่า จอห์น ทักเกอร์มีน้องชายอีกหนึ่งคนแต่เขาทั้งไม่หล่อ ไม่มีเสห่ห์ บุคลิกออกจะเซอร์ๆและเอ๋อๆเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่จริงตัวหนังเองไม่ได้พาเราไปรู้จักความสมัครสมานมีความเชื่อมโยงระหว่างพี่น้อง ทัคเกอร์เลยแม้แต่น้อย มันจึงสามารถสะท้อนสภาพของตัวละครทั้งสองว่า พวกเขาแม้ว่าจะเป็นพี่น้องกันก็ตามทีแต่ “ฐานะทางสังคม” คือตัวแบ่งแยกระหว่างคำว่าพี่น้องได้โดยปริยาย

ในขณะตัวละครอย่าง เคท ก็ดันไปใกล้เคียงกับ ซินเดอเรล่า โดยบังเอิญ อาจจะไม่ตรงกันร้อยทั้งร้อย แต่องค์ประกอบบางอย่างก็คล้ายกันอยู่เนืองๆ ไม่ว่าชีวิตไร้ความสุขเปรียบกันกับนางซินก็เทียบเท่าตอนเธอต้องกลายไปเป็นคนใช้ของบ้าน การที่เคทมีสภาพเหมือนคนไร้ตัวตนก็คล้ายกับตอนสาวในนิยายคนนี้โดนกลั่นแกล้งรังแก หรือกระทั่งการเปลี่ยนแปลงโฉมของเคทให้กลายเป็นสาวงามเพื่อคว้าหัวใจของจอห์นมาก็เหมือนช่วงขณะนางฟ้าลงมาเสกชุดไปงานเต้นรำให้ซินเดอเรล่านั่นแหละ

น่าสนใจเรื่องเปลี่ยนแปลงโฉมของเคท เปรียบได้กับการยำใหญ่นำบุคลิกของสาวของจอห์น ทักเกอร์ทั้งสามคนมาผสมปรุงแต่งให้หลอมรวมมาอยู่ในตัวเธอ นั่นหมายความว่า ถ้าเกิดเขาหลงรักผู้หญิงคนนี้ นั่นเท่ากับว่าเจ้าคาสโนว่าหนุ่มตกหลุมรักถ่านไฟเก่าทั้งสามในร่างของหญิงสาวที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้แค้นตัวของเขาเอง !?!?
ส่วนผสมของเคทจึงมีทั้งบุคลิกแบบปากกล้าอย่างเชียร์ลีดเดอร์ ผสมสาวหัวแข็ง นักอนุรักษ์นิยมและเก่งเรื่องการจัดการไปในตัว แต่อย่างไรก็ดีในหัวใจของเธอคงจะรู้ดีว่าคนที่เป็น “เปลือกนอก” ในตอนนี้มิใช่ตัวตนอันแท้จริง

ขณะที่ตัวตนที่แท้จริงของเคท เป็นบุคคลที่คิดว่าโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้ประกอบไปด้วย คนประเภทที่เห็นแก่ได้กับคนที่ยอมได้ทุกอย่าง ทว่าขณะเดียวเธอยังแอบหวังอยู่ในใจลึกๆว่า ถ้าหากชีวิตจริงของมนุษย์ มันน่าจะง่ายดายแบบในเพลงรักซึ่งหากคิดจะรักกันมันก็จบ ไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืด ซึ่งความคิดแบบนั้นอาจจะแทบไม่มีโอกาสเป็นจริงได้เลยก็ตามที

จะชี้ให้เห็นว่าคนแบบเคทไม่จำเป็น ต้องใส่บุคลิกมากมายลงไปในตัวเธอ เพราะในตัวตนที่แท้จริง ยังมีในสิ่งที่ผู้ชายทุกคนต้องการอยู่แล้วนั่นคือ “ความอบอุ่นและความอ่อนโยน” หาใช่ความหยาบกร้านและอารมณ์เสน่ห์หา” แบบเดียวกับผู้หญิงหลายๆคนยอมจัดแจงตัวเองเพื่อถวายใส่พาน รอประเคนให้ผู้ชาย
ดังคำกล่าวของน้องชายของจอห์น ทัคเกอร์มีใจความว่า ผู้หญิงทุกคนต่างก็รู้ถึงสันดานเลวของผู้ชายบางประเภทที่โกหกเพื่อให้ผู้หญิงหลงรัก หากแต่รักจริงหรือหวังแค่เพียงเซ็กส์อันร้อนแรง เมื่อทุกเสร็จสิ้นและจบลง ความสัมพันธ์เหล่านั้นก็หมดความหมาย กระนั้นแล้วหญิงสาว ก็ยังเต็มอกเต็มใจเข้าคิวให้คนแบบนั้นหลอก นั่นนะหรือคือสิ่งที่เรียกกันว่า “ความรัก”

จริงอยู่ที่ความพยามจะให้จอห์นมาตกหลุมรักเคท เป็นผลให้คนแบบเขาจำต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้คนอันเป็นที่รักให้หันมาสนใจ ในทางตรงกันข้าม ตัวของเคทเองต้องผสมผสานจริตแบบสาวร่านใจแตกลงไปในตัวตนของเธอ ทั้งที่จริงเธอเองคงจะขยาดอยู่ไม่น้อยกับสิ่งต้องทำเพราะว่า บรรดาสิ่งต่างเหล่านี้ก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่ไม่ไกลนั่นคือ แม่ของเธอเองนั่นแหละ

ทว่าในขณะที่ในหัวเคทคิดว่า แม่ของเธอไม่สามารถเป็น “แบบอย่าง” ให้กับชีวิตได้ กระนั้นความบกพร่องของแม่เธอยังนำมาซึ่งบทเรียนสำคัญ ด้วยการอาศัยประสบการณ์ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนและผู้ชายมากหน้าหลายตา จึงนำข้อคิดอย่างหนึ่งมาตักเตือนลูกสาวด้วยความหวังดีว่า ความรักมันมิใช่การ “แกล้ง” เพราะถ้าหากความรักที่แท้จริงมันมาถึงตัวแล้ว วันนั้นแหละคนที่”เจ็บ”จะเป็นตัวเราเอง เนื่องจากนั่นมันมิใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา

มันช่างเป็นข้อความน่าขบคิดสำหรับคนที่กำลังล้อเล่นกับคำซึ่งไม่อาจจะนิยามความหมายของมันได้นั่นคือ “รัก”

ขณะเรื่องราวต่างๆเริ่มผนวกเข้าที่เข้าทางและใกล้ถึงบทสรุป ในจิตใจของสาวทั้งสามรวมถึงเคทด้วยก็ตาม มันกลับมาอยู่ในสภาพเดียวกันตอนแรกอีกครั้ง นั่นคือตบตีกันเพื่อแย่งผู้ชายคนเดิมเนื่องจากสาเหตุเพียงของสำคัญแค่ชิ้นหนึ่งหนึ่ง เพราะไม่ว่าทั้งสามจะดำรงอยู่ในฐานะแฟนหรือเป็นคนที่พยามแก้แค้นก็ตาม สิ่งเหล่านี้มิได้ต่างไปจากการหมกมุ่นอยู่กับผู้ชายที่ชื่อ จอห์น ทักเกอร์อยู่ดีนั่นแหละ

ดังนั้นความตั้งใจของทั้งสี่สาวซึ่งเคยออกลั่นวาจาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ สุดท้ายพวกเธอก็ไม่สามารถก้าวไกลไปกว่าพวกผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหยื่อของผู้ชายจอมเจ้าชู้ ซ้ำร้ายการยืนหยัดเพื่อแสดงจุดยืนของเพศหญิงของทั้งสี่ยังเอยด้วยการ “สาด” ใส่จากเพศชายผู้คิดว่า ชายก็ตามสามารถ”ได้” ผู้หญิงนั่นแหละคือสุดยอดของชาติชาย สมควรได้รับการนับหน้าถือตา

น่าสงสารว่าบรรดาอุดมการณ์เหล่านั้นท้ายที่สุดก็กลายเป็นธาตุอากาศซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการสนับสนุน ทว่าบัดนี้สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นแค่เพียง”อดีต” ที่สร้างบทเรียนให้กับชีวิตของพวกเขาและเธอ ให้กลายเป็นบันทึกหน้าหนึ่งของช่วงชีวิต

แม้ว่าผลสุดท้ายบางคนได้กลายไปเป็นตำนาน บางคนได้รับบทเรียน เปลี่ยนแปลงทัศนคติ (ซึ่งไม่รู้ว่าดีขึ้นหรือเลวลง) อีกคนได้รับความสนใจอีกครั้ง และอีกหลายคนที่กลายมาเป็นมิตรภาพใหม่ นั่นยังแสดงให้เรารู้ว่าการเดินทางของชีวิตมนุษย์ทุกคนล้วนต้องผ่านร้อนและหนาว เกี่ยวเก็บประสบการณ์ที่อยู่ตามรายทางของชีวิต

เพราะว่าชีวิตของมนุษย์นั้นมันคือการเดินทางมิใช่เหรอ ?







1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

สวัสดีปีใหม่คับเพ่...

ชอบบทความพี่มากๆๆ เหอะๆ ใช้ภาษาแสบๆคันๆดี
ยังไงก็เอามาลงบ่อยๆนะ เขียนลงสตาร์พิคส์เยอะๆหล่ะ
แล้วผมจะรออ่านคับ...

โชคดีน้า...